• 29 มิถุนายน 2018 at 12:17

มนต์เมืองเหนือ....แอ่วเหนือสุดสยาม  จังหวัดเชียงราย

  เดือนกันยายน เข้าสู่ฤดูปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การพักผ่อนและท่องเที่ยว ยิ่งได้พักผ่อนแบบใกล้ชิดอิงแอบธรรมชาติ ก็ยิ่งทำให้ร่างกายได้พลังงานเต็มที่ "เชียงราย" เป็นจังหวัดที่เข้ามาในใจและมนต์เสน่ห์ความงดงามตามวิถีล้านนา ล้วนยิ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ไปเยือนภูมิประเทศของเชียงรายโอบล้อมด้วยภูเขา และมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้มีอากาศเย็นสบาย ควรค่าแก่การรับอากาศอันแสนบริสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นที่แฝงศิลปะอันน่าค้นหาให้เราได้เสพความสุขอย่างมากมายแต่เมื่อได้เยือนเมืองเหนือ ก็ต้องเริ่มต้นทักทายกันด้วย อาหารเหนือแท้ๆ และเราไม่พลาดที่จะไปชิม

“น้ำเงี้ยวแม่สุขใจ”สุดยอดน้ำเงี้ยวในเชียงราย และการันตีด้วยปริมาณของลูกค้าที่รอคิวกันอย่างล้นหลาม ระหว่างรอเวลาก็สำรวจเมนูต่างๆ ซึ่งน้ำเงี้ยวที่นี่ มีทั้งหมู แล้วก็เนื้อ มาถึงร้านแล้วก็ต้องสั่งชิมทั้ง 2 แบบ กินแกล้มกับ ผักดองสูตรพิเศษ เติมพริกผัด เพิ่มรสชาติ  นอกจากน้ำเงี้ยวแล้ว ยังมีเมนู

ข้าวกั้นจิ้น เป็นข้าวที่ผัดกับเลือดโรยกระเทียมเจียว บีบมะนาว เสิร์ฟแบบห่อใบตองมา ทานคู่กัน ลำขนาดเจ้า

อิ่มแล้วก็ขอมุ่งหน้าไปไหว้พระขอพรกันก่อน เริ่มที่

"วัดร่องเสือเต้น” ชาวบ้านแถวนี้เล่าให้ฟังว่า นายพุทธา กาบแก้ว  หรือ “สล่านก” ศิษย์ อ.เฉลิมชัย ซึ่งเป็นศิลปินท้องถิ่นของเชียงรายเป็นผู้สร้างวัดนี้โดยรังสรรค์วิหารแห่งนี้ขึ้นมาจากแนวคิดที่ต้องการชักนำชาวพุทธให้หันกลับมาเข้าวัด ซึ่งการสร้างพระวิหาร ทั้งภายนอกและภายใน เป็นศิลปะแบบประยุกต์ มีความสวยงามและเอกลักษณ์เฉพาะโดยใช้โทนสี น้ำเงินฟ้า ทั้งพระวิหาร

ด้านบันไดทางขึ้นของพระวิหารยังมีผลงานประติมากรรมอีกมากมาย ทั้งพญานาคที่อยู่ด้านหน้าทางขึ้น และบริเวณรอบๆของพระวิหาร ล้วนแล้วแต่มีความงดงาม อ่อนช้อย ซึ่งต่างจากประติมากรรมทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากสักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลและชื่นชมความสวยงามของวัดร่องเสือเต้นเรียบร้อยแล้ว ก็ยังอยากดื่มด่ำกับความสวยงามของงานศิลป์ จึงมุ่งหน้าต่อไปที่

“พิพิธภัณฑ์บ้านดำ” ซึ่งสร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์  ดัชนี  ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์  ที่มีผลงานโดดเด่นทางด้าน จิตรกรรม และ ประติมากรรม


เมื่อได้มาเยือนก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญานของ อาจารย์ที่ถ่ายทอดสู่ผลงาน ประติมากรรมที่อาจารย์สร้างขึ้นดูมีพลังและแฝงไว้ด้วยนัยยะที่หลากหลาย บ้านแต่ละหลังเป็นศิลปะแบบล้านนา ทุกหลังทาด้วยสีดำ ซึ่งเป็นสีที่อาจารย์ชื่นชอบ ภายในมีต้นไม้รายล้อม สร้างความร่มรื่นให้เดินชื่นชมงานศิลปะและถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน

ประติมากรรมที่นี่ จะมีทั้งหนังสัตว์ เขากระทิง เขากวาง มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้  อาจารย์ ได้นำมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนรูปและสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทั้งสิ้น  และผลงานแต่ละชิ้นจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลก หากใครสนใจหรือชื่นชอบผลงานของอาจารย์ก็สามารถเลือกซื้อของที่ระลึกได้ที่บริเวณด้านหน้าของบ้านดำ



นอกจากของที่ระลึกแล้ว ยังมีการแสดงผลงานชิ้นสุดท้ายของอาจารย์ไว้ที่นี่ด้วย ใครมาถึงเชียงราย แนะนำเลยค่ะ ต้องมาเสพศิลปะในแบบอาจารย์ “ถวัลย์ ดัชนี “หลังจากเสพศิลปะแบบประติมากรรม จิตรกรรม กันไปแล้ว

ที่เชียงรายก็ยังมีงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง  นั่นคืองานเครื่องปั้นดินเผา แห่ง “ดอยดินแดง” ที่มี

ศิลปินเซรามิคระดับนานาชาติ มาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานโดย “ อ.สมลักษณ์ วงศ์รุจิราวาณิชย์  “ ซึ่งเป็นศิลปินที่ลุ่มหลงในงานปั้นศิลปินเครื่องปั้นดินเผา แห่งดอยดินแดง สร้างคุณค่าจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งวันนี้เราได้พบกับอาจารย์ ท่านได้พาเราเยี่ยมชมห้องแสดงผลงานเซรามิคอาร์ตและบอกเล่าเรื่องราว ของการทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งกว่าจะออกมาแต่ละชิ้นงานต้องใช้ทั้งความตั้งใจและระยะเวลา

 

จุดเด่นของเครื่องปั้นดินเผาของที่นี่คือ การใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติภายในท้องถิ่น โดยเฉพาะสี และผิวของเครื่องปั้นมีความโดดเด่น และร่วมสมัย รับรองได้ว่า เป็นเอกลักษณ์ของดอยดินแดง ที่นี่ที่เดียวจริงๆ หากชมแล้วชื่นชอบก็มีผลงานวางจำหน่ายให้ได้ซื้อไปเป็นของฝาก ของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไป


ซึ่งในวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดกิจกรรม Work Shop ให้เราได้ลงมือออกแบบลวดลายลงบนเครื่องปั้นดินเผาตามสไตล์ของเราเอง โดยอาจารย์สมลักษณ์ เป็นผู้สอนและแนะนำวิธีการทำตลอดจนอธิบายวัตถุดิบต่างๆ ยิ่งมีโอกาสได้ลงมือด้วยตัวเองก็ยิ่งสนุก เพลินจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็เลอะเทอะ ต้องกลับที่พัก อาบน้ำ พักผ่อน 

          เพื่อเตรียมพร้อมตะลุยเมืองเชียงรายกันต่อในวันพรุ่งนี้ อากาศยามเช้าที่เชียงรายชวนให้สดชื่น ร่างกายได้รับอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขา หมอกจางๆ ชวนให้เอื้อมมือไปแตะ เสมือนอยู่ในความฝันเลยทีเดียว ได้พักผ่อนเติมพลังเต็มที่พร้อมเดินทางกันต่อ วันนี้เราจะไปยังโครงการพัฒนาดอยตุง เพราะได้ข่าวมาว่า ที่ดอยตุง เค้ามีกิจกรรมแบบ  Adventure ใหม่ล่าสุดด้วย เมื่อเราเดินทางมาถึงก็ยังเจอกับอากาศที่เย็นสบาย แสงแดดอ่อนๆ

          ที่ตกกระทบกับดอกไม้นานาพันธุ์ช่างสวยงามเชื้อเชิญให้เราเข้าไปสัมผัส ก่อนจะเข้าชม ก็ต้อง ซื้อบัตรกันก่อน  อัตราท่านละ 90 บาทเท่านั้น เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยก็เดินชมกันไปพร้อมกับเก็บภาพความประทับใจของสวน “แม่ฟ้าหลวง” 


          ที่มีดอกไม้เมืองหนาวในหุบเขา และในพื้นที่ก็จะปลูกไม้ดอกสลับกัน เพื่อให้ออกดอกกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่ชื่นชมดอกไม้ต่างๆ นั้น ก็ต้องไม่ลืมชิมกาแฟดอยตุงอันเลื่องชื่อ ยิ่งได้มาชิมท่ามกลางสวนดอกไม้อากาศดีแบบนี้ ยิ่งทำให้กาแฟวันนี้อร่อยเกินจะบรรยายหลังพักทานกาแฟแล้ว เราก็เตรียมพร้อมกับกิจกรรมใหม่

          Doi Tung Tree Top Walk หรือ เรียกกันง่ายๆ ว่าทางเดินเรือนยอดไม้ดอยตุง กิจกรรมล่าสุดของที่นี่ ซึ่งมีค่าบัตรท่านละ 150 บาท และเราก็จะได้รับอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่แนะนำวิธีการสวมใส่และอธิบายกฎในการร่วมกิจกรรม การเดินชมพื้นป่า สวน ของ Tree Top Walk ใช้เวลา ประมาณ 30 นาทีเมื่อเดินทางเข้ามาเหมือนเราได้อยู่บนยอดไม้


         เพราะมีความสูงถึง 30 เมตร ชวนให้ขนลุกได้ดีทีเดียว แต่ความร่มรื่นของผืนป่า ตลอดจนวิวทิวเขา ยอดดอยช้างมูน ก็สามารถทำให้ลืมความกลัวไปได้ และได้ชื่นชมกับทัศนียภาพและธรรมชาติอย่างเต็มอิ่มจนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


          แทบไม่น่าเชื่อว่าได้ผ่านการเดินบนสะพานไม้ 295 เมตรมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดกับไฮไลท์ของที่นี่ "พระตำหนักดอยตุง" ซึ่งเป็นบ้านพักของสมเด็จย่า การเข้าเยี่ยมชมบริเวณนี้จะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเหมาะสม ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่บอกถึง กฎในการเข้าชม พร้อมทั้งแจก หูฟัง พร้อมคำบรรยายแต่ละห้อง เพื่อให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเสร็จจากพื้นที่ด้านใน ก็สามารถออกมาเดินเพลิดเพลินกับดอกไม้และวิวที่สวยงามระหว่าง เดินลงจากพระตำหนักได้ชื่นชมธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์เพิ่มพลังกันแล้ว

          ก็ถึงเวลาไปร่วมกิจกรรม ท่องเที่ยว วิถีไทย เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร อาหารถิ่น ตะลุยกินทั่วไทย วันนี้เราจะได้ลองทำอาหารถิ่นชื่อแปลกๆ อีกแล้ว กับ “ข้าวแรมฟืน"  ซึ่งรสชาติ มีทั้ง เปรี้ยว เผ็ด หวาน  บางคนก็ทานเป็นอาหารหลัก บางคนก็ทานเป็นอาหารว่าง แต่ทุกอย่างจะเป็นมังสวิรัต หรือหากตัดส่วนผสมบางอย่างออกก็เป็นอาหารเจ ช่างเหมาะกับเดือนตุลาคมของเทศการกินเจพอดี

          วันนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดวัตถุดิบต่างๆ ให้ สำหรับส่วนประกอบหลักๆ ของ ตัวแป้งข้าวแรมฟืนนั้นทำมาจากถั่วลิสง นำมาโม่จนแป้งตกตะกอนเป็นก้อน ส่วนประกอบอื่นๆ ก็มี น้ำขิง, กระเทียมเจียว, พริกผัด, น้ำมะเขือเทศ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ของอาหารทางภาคเหนือก็ต้องมี   "ถั่วเน่า” หรือ ถั่วเหลืองหมัก โดยเอาถั่วไปโขลกแล้วก็หมักไว้

          ลักษณะคล้ายคลึงกับปลาร้าของทางภาคอีสาน ซึ่งเรียกกันมาแบบนี้แต่ไม่ได้หมายถึงของบูดหรือเน่าจริงๆ หลังจากทราบส่วนผสมทั้งหมดก็ลงมือทำตามที่เชฟบอก วิธีการทำก็แสนง่ายดายใช้เวลาเพียงไม่นาน สุดท้ายจัดตกแต่งจานให้สวยงาม ก็ได้รับประทาน “ข้าวแรมฟืน"  ได้ชิมถึงกับต้องอุทานว่า ลำขนาด 

          เสร็จจากกิจกรรมกันแล้ว ก่อนมุ่งหน้าลงจากดอย ก็สามารถเลือกซื้อของฝาก ของที่ระลึกและเลื่องชื่อของดอยตุง ไม่ว่าจะเป็น กาแฟอาราบิก้าแท้ๆ ที่มีคุณภาพดีมาก หรือ ผ้าทอมือ ที่มีลวดลายและเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ละผืนมีเสน่ห์ งดงามถือเป็นของขึ้นชื่อที่น่าภาคภูมิใจของชาวดอยตุงเพลินกับบรรยากาศบนดอยจนพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า อยากจะเก็บบรรยากาศแบบนี้ไปให้ทุกคนได้สัมผัส แต่ทำได้เพียงเก็บภาพความประทับใจนี้ไว้ และหากครั้งใดที่ต้องการพักผ่อน การมาเยือนที่นี่ช่วยเพิ่มพลังกายและใจได้อย่างดี

วันสุดท้าย ณ เชียงราย เราไม่พลาดกับการไปตลาดชายแดนไทย-พม่า ที่เลื่องชื่อ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "แม่สาย" แหล่งการค้าที่พรั่งพร้อมไปด้วยสินค้านานาชนิด ก่อนเข้าก็ต้องทำเอกสารการเข้าเมืองก่อน ด้านในก็จะเป็นภาพที่คุ้นตาและมีความคล้ายคลึงกับตลาดในบ้านเราไม่ต่างกันเลย ถึงเวลาความสุขหมดลง คงต้องต้องออกเดินทางกลับเมืองกรุงกันแล้ว กลับเข้าสู้โหมดคนเมืองเหมือนเดิม

 

 

 

 

 

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2