• 29 มิถุนายน 2018 at 12:17


         ฮอนด้าท้าพิสูจน์ความอเนกประสงค์กับครอสโอเวอร์น้องเล็กรุ่นล่าสุด บนเส้นทางเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด รวมระยะทาง 59.5 กิโลเมตร แม้ว่าระยะทางอาจจะสั้นไปสักหน่อย แต่น่าเหลือเชื่อที่เจ้า BR-V คันนี้ได้อวดทุกจุดเด่นให้ได้ลองกันแบบไม่มีกั๊ก...



         หลังจากที่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว ฮอนด้า บีอาร์-วี ยนตรกรรมแอคทีฟสปอร์ตครอสโอเวอร์ใหม่ไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปลายเดือนเดียวกันนี้เองทางฮอนด้าก็ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนร่วมพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของตัวรถที่พร้อมลุยในทุกเส้นทาง สัมผัสถึงความโดดเด่นของดีไซน์ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร อัตราการประหยัดน้ำมันอันเป็นเลิศ และความอเนกประสงค์ที่ให้ได้มากเกินตัว ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์ 2559


         ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้กลุ่มลูกค้าของค่ายรถยนต์มีความสนใจและเริ่มมองหารถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์หรือเอสยูวีเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมา ฮอนด้ามี ฮอนด้า ซีอาร์-วี เพื่อรองรับความต้องการในตลาดบน และเมื่อปลายปี 2557 ฮอนด้าก็ได้เปิดตัว ฮอนด้า เอชอาร์-วี เพื่อรองรับตลาดระดับรองลงมา ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับที่ดีเยี่ยม และเพื่อต่อยอดความสำเร็จของรถเอสยูวี ทั้ง 2 รุ่น อีกทั้งเพื่อตอบสนองความต้องการรถเอสยูวีที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับซับคอมแพค ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ฮอนด้าจึงเปิดตัว ฮอนด้า บีอาร์-วี ที่จะเข้ามาเติมไลน์ผลิตภัณฑ์รถเอสยูวีของฮอนด้าให้ครอบคลุมทุกระดับของตลาดได้อย่างสมบูรณ์




         แน่นอนว่าการเปิดตัว ฮอนด้า บีอาร์-วี ครั้งนี้ ฮอนด้าเองต้องการจะตอบโจทย์ความต้องการรถยนต์สปอร์ตแนวอเนกประสงค์ให้กับกลุ่มลูกค้าในระดับซับคอมแพคท์ ซึ่งไม้เด็ดไม้ตายของ ฮอนด้า บีอาร์-วี นั่นก็คือเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ บนเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 117 แรงม้า และระบบเกียร์ CVT ใหม่ รองรับพลังงานทางเลือก E85 พร้อมด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่ครบครัน


         การทดลองขับในครั้งนี้ผมได้ ฮอนด้า บีอาร์-วี รุ่น V สีขาวออร์คิด 5 ทีนั่ง มาทำการทดสอบครับ หมายเลขรถของผมคือเบอร์ 6 ซึ่งเป็นคันสุดท้ายของขบวน การปล่อยรถเป็นแบบ Free-Run หรือไปเจอกันที่จุดนัดพบเลย 59.5 กิโลเมตรแรกผมอาสาเป็นผู้โดยสารขอนั่งชิวๆชมถนนหนทางของเมืองเชียงใหม่ไปก่อนก็แล้วกัน


         ระหว่างที่นั่งไปเพลินๆผมก็ได้สำรวจภายในห้องโดยสารไปพร้อมกัน วัสดุที่ใช้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเลยทีเดียว คือดูมีอะไรมากกว่าโมบิลิโออย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุสีเงินที่ใช้ตกแต่งพวงมาลัย คอนโซล กรอบแอร์ และคันเกียร์ ดูน่าใช้ลงตัว เบาะนั่งแบบผ้านั่งกระชับดีครับ มาตรวัดเรืองแสงสีขาว พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด ช่องจ่ายไฟสำรอง ที่วางแก้วน้ำมีมากถึง 11 ตำแหน่ง ไฟภายในห้องโดยสาร 2 ตำแหน่ง แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีฝาปิดด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าและกระจกมองหลังแบบตัดแสง ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System) ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว ที่รองรับระบบ iOS และ Android พร้อมมลำโพง 4 ตำแหน่ง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) ช่องเชื่อมต่อ USB,  AUX สิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าครบครัน แต่ติดอย่างเดียวคือ ตำแหน่งของเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบตายตัวไม่สามารถปรับระดับได้ซึ่งตรงนี้ทางฮอนด้าอาจจะต้องปรับปรุงอีกสักเล็กน้อย


         เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถเลื่อนหน้าลังและปรับพับแยกแบบ 60:40 พร้อมพับตลบจังหวะเดียว (One Motion) เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น มาพร้อมถาดรองสัมภาระท้ายรถและกล่องอเนกประสงค์ใต้เบาะนั่งแถวที่ 2 ในรุ่น V จะไม่มีระบบประอากาศของห้องโดยสารแถว 2 ให้เหมือนกับในรุ่น SV แต่ๆรวมๆ แล้วพื้นที่ห้องโดยสารทั้งแถวที่ 1 และ แถวที่ 2 พื้นที่เขา พื้นที่เหนือศีรษะ และพื้นที่ช่วงขา ถือว่าเป็นรถที่นั่งสบายมากกว่าจะตัดสินจากภายนอกจริงๆครับ


          ความคล่องระหว่างการขับขี่ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ที่การจราจรค่อนข้างติดระดับน้องๆ กรุงเทพฯ ถือว่าตอบโจทย์ ทัศนะวิสัยในการมองเห็นรอบคันทำได้ดี จนแล้วจนรอดเราก็ฝ่าออกไปนอกเมืองได้ในที่สุด ความเร็วที่ใช้ถูกเพิ่มขึ้น ด้วยอัตราเร่งแบบค่อยเป็นค่อยไป เสียงเครื่องยนต์อืดครางอาจมีให้ได้ยินบ้างในจังหวะที่เราใจร้อนกว่ารอบเครื่องยนต์ เสียงลมปะทะเริ่มได้ยินตั้งแต่ที่ความเร็ว 110-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง


         เผลอแป๊บเดียวเราก็มาถึงจุดพักรถ และเป็นจุดเปลี่ยนผู้ขับขี่ คราวนี้ถึงตาผมแล้ว ความรู้สึกแรกหลังออกตัว ผมคิดว่ามันเป็นรถที่ขับสนุกควบคุมง่าย อัตราเร่งก็เป็นไปตามกำลังของเครื่องและขนาดของตัวถัง ไม่ถึงกับอืดอาดและก็ไม่ได้ปรี้ดปร๊าดจนเกินเหตุ ระบบบังคับเลี้ยวถือว่าแม่นยำให้น้ำหนักกำลังพอเหมาะทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ในบางจังหวะที่ต้องเร่งแซงอาจจะยังไม่ทันใจสักเท่าไหร่ แต่ผมเชื่อว่าถ้าเป็นรถของคุณเองคุณก็จะกะระยะแซงได้แม่นยำขึ้น รู้กำลังของรถมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมมองว่าอัตราเร่งของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร SOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน ที่ 4,700 รอบต่อนาที และระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ให้มานี้เพียงพอและไม่ใช้อุปสรรคที่จะใช้ในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด


         ช่วงล่างก็ถือว่าเป็นอีกจุดที่โดดเด่นเลยทีเดียวครับหลังจากที่ได้ทดลองขับขี่ ด้วยระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังทอร์ชั่นบีมแบบ H-Shape ส่งผลให้การขับขี่เป็นไปอย่างนุ่มนวล และการทรงตัวที่ดีเยี่ยม ทั้งการยึดเกาะถนน การเข้าโค้ง พร้อมได้รับการออกแบบมุมล้อสำหรับรถยกสูงโดยเฉพาะ จึงตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสนุกในการขับขี่ เอาเป็นว่านิยามสั้นๆสำหรับผมคือ “นิ่มนวลแต่ไม่เนิบนาบ”


         หลายคนคงอดคิดไม่ได้ว่า ฮอนด้า บีอาร์-วี จะเข้ามาแข่งกันเองกับ ฮอนด้า โมบิลิโอ หรือเปล่าอาจจะด้วยหน้าตาและขนาดตัวที่ดูเผินๆแล้วอย่างกับแฝดคนละฝาต่างกันแค่ความสูง ทีแรกผมยอมรับเลยครับว่าผมเองก็คิดแบบนั้น แต่หลังจากที่ได้ขับเจ้า ฮอนด้า บีอาร์-วี แล้วฟิลลิ่งที่ได้ขับต้องบอกตรงนี้เลยว่าค่อนข้างต่าง ทั้งภาพลักษณ์ กิจกรรมที่เหมาะกับตัวรถ และความสะดวกสบาย ฮอนด้า บีอาร์-วี คันนี้มันได้บอกความเป็นตัวตนไว้แล้วว่าเหมาะกับ รถเที่ยวเดินทาง ชอบความสนุก ลุยๆ ไป ทะเล ภูเขา น้ำตก (ได้บ้างประมาณนึงต้องไม่ฮาร์ดคอร์มากนะ) ต่างจาก ฮอนด้า โมบิลิโอ ที่อาจจะเหมาะกับ สวนผึ่ง เขาใหญ่ หัวหิน หวานๆเก๋ๆ อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับผมซัมเมอร์นี้คงไม่เลวเลยล่ะครับถ้าจะมีเจ้า ฮอนด้า บีอาร์-วี คันนี้เป็นเพื่อนร่วมเดินทาง...  


FRIST IMPRESSION 

STORY: Number9

PHOTO: Honda




ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2