• 29 มิถุนายน 2018 at 12:17


"จะเป็นไรไปหากลองเปลี่ยนแนวมาเที่ยวแบบลุยๆ ดูบ้าง

อาจจะต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าทุกทีแต่มันก็ทำให้ฉันเข้าใจกับคำว่า “สุขล้น” มากยิ่งขึ้น…"




         มีความตั้งใจไว้นานแล้วเหมือนกันว่าอยากจะลองเที่ยวเดินป่าดูสักครั้ง เห็นใครต่อใครไปเที่ยว ภูกระดึง ภูสอยดาว พุเตย ดอยม่อนจอง หรืออะไรประมาณนี้ที่ต้องเดินเท้าเพื่อเข้าไปแคมป์ปิ้งก็ดูจะน่าสนุกดีเหมือนกัน หลังจากที่หาข้อมูลดูแล้วฉันได้ตัดสินใจแล้วว่า ดอยทูเล นี่แหละคือปลายทางเราในวันหยุดยาวนี้


         ดอยทูเล หรือ ม่อนทูเล ตั้งอยู่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก คนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอ เรียกเขาลูกนี้ว่า “ทูเลโคะ” หมายถึงภูเขาสีทองการเดินทางไปยังดอยทูเล จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ทาง องค์การบริหารส่วนตำบลท่าสองยางเพื่อให้จัดเตรียมหาลูกหาบ และผู้นำทาง 


     ที่สำคัญคือ การเตรียมตัวเดินป่า สภาพร่างกายที่ต้องฟิตพอสมควรและจิตใจอันแน่วแน่ แนะนำควรออกกำลังกายท่าsquat ทำเป็นเซตอย่างน้อย 10 นาทีทุกๆ วันก่อนการเดินทางอย่างน้อย 2 อาทิตย์ การแต่งกาย ควรเตรียมเสื้อและกางเกงที่ระบายความร้อนได้ดี กางเกงควรจะเป็นขายาวป้องกันการขูดหรือเกี่ยวจากกิ่งไม้ รองเท้าควรเหมาะกับการเดินป่าที่ใช้เวลาเดินนาน อย่างเช่น รองเท้าแบบดอกลึก พื้นนิ่มๆ หรือไม่ก็เป็นรัดส้นถ้าไม่กลัวทาก เรี่องสำภาระต้องคำนึงถึงน้ำหนักเอาไปแต่ที่จำเป็นเพราะเราต้องแบกเป็นเวลานาน บนดอยเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะหนาวแค่ไหน ควรติดเสื้อกันหนาวและถุงเท้า สิ่งที่ขาดไม่ได้คือไฟฉายและรองเท้าแตะ ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ 


         ระยะเวลาในการเดินเท้าประมาณ 6-7 ชั่วโมง ต้องเตรียมข้าวกล่องมื้อกลางวันไปทานระหว่างทาง อาหารมื้อเย็น และเช้า น้ำดื่ม แนะนำว่าควรเตรียมอาหารเผื่อลูกหาบด้วย เพื่อเป็นน้ำใจเล็กๆน้อย ทริปในครั้งนี้เป็นทริป 2 วัน 1 คืน ผู้ร่วมทริปทั้งหมด 4 คน ในวันเดินทางทุกอย่างเป็นใจ ท้องฟ้าแจ่มใสอากาศเย็นสบาย เดินข้ามเขาลูกแรกจะเห็นวัวกินหญ้าเป็นระยะๆ มีกลิ่นขี้วัวโชยเตะจมูกให้ชุ่มปอดบ้างเล็กน้อย เขาลูกแรกเหมือเราได้วอมขากันก่อน ทางไม่ชันมากนัก เดินดูทุ่งนา และพันธุ์ไม่ต่างๆ มีต้นมะขามป้อมให้เราได้เก็บลูกกินให้ชุ่มคออยู่เรื่อยๆ เดินมาไกลพอสมควร แต่ก็ยังมีมูลวัวอยู่ตามจุดที่เรายืนพักเพราะเป็นที่ราบเนินเขาเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น (นึกในใจว่าวัวนี่เดินเก่งจริงๆ เดินมาได้สูงขนาดนี้เชียว) เริ่มเข้าเขาลูกที่ 2 อาการเมื่อยก็เริ่มมาเยือนเพราะความเป็นมือใหม่ ทางเริ่มชันมากขึ้นเรื่อยๆเสื้อที่แห้งก็ชุ่มเหงื่อไปตามๆกัน


         ผ่านมา 3 ชั่วโมง แวะพักเป็นระยะสลับกับการจิบน้ำให้ชุ่มคอ คอยถามพี่ลูกหาบว่าอีกไกลไหม จะถึงรึยัง เขาชี้นิ้วไปยังยอดเขาด้านขวามือ และพูดว่า “เดออีกสอลูกก็ถือละ” เมื่อเห็นยอดเขาสิ่งที่คิดในใจคือ นั่นหรือ และคิดในใจว่าโอยวันนี้จะถึงไหมเนี่ย ?


          พักจนหายเหนื่อยก็ออกเดินกันต่อ ท้องเริ่มหิวข้าว ถึงลำธารเล็กๆ ก็หยุดพักทานข้าวกล่องที่เตรียมไว้และแบ่งให้พี่ลูกหาบด้วยนะ กองทัพต้องเดินด้วยท้องการเดินทางในครั้งนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่อุทยานแต่อย่างใด พี่ลูกหาบนำทาง 1 คนและน้องลูกหาบเดินปิดท้ายอีก 1 คน เพื่อไม่ให้เราหลงทางเมื่อแตกกลุ่ม จุดที่ทานข้าวกันมีตัวทากเยอะมาก จนต้องกินไประแวงไป และสุดท้ายไม่อาจหนีพ้นมีผู้บริจาคเลือดแบบที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ไป 2 ราย 


         ทานข้าวเสร็จ ล้างหน้าล้างตา ออกเดินทางกันต่อหยิบเป้ที่รู้สึกว่ามันหนักขึ้นทุกทีเหวี่ยงขึ้นบ่าอีกครั้ง เดินต่อไปยังเขาลูกที่ 3 อากาศที่ร้อนเริ่มเย็นมากขึ้น แต่น่องของเราไม่ได้ผ่อนคลายตามสภาพอากาศแต่อย่างใด ตอนนี้หลังเริ่มออกอาการล้าเช่นกัน เราพักกันน้อยลงเพราะร่างกายและหัวใจเริ่มปรับตัวกับการเดินอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ยิ่งเราเดินขึ้นไปสูงขึ้นใบไม้และต้นหญ้า มอส พืชต่างๆ ดูชุ่มชื้น พันธุ์ไม้เริ่มเปลี่ยนไปแปลกตามากขึ้น ตอนนี้ส้นเท้าเริ่มมีอาการเจ็บ ให้ได้รู้สึก เพราะแทบไม่มีทางราบเลย มีแต่ทางขึ้นๆๆๆ และขึ้นเท่านั้น แต่ยังดีที่ไม่มีแดด เพราะต้นไม้สูงปกคลุมทั่วบริเวณ เหมือนเป็นร่มขนาดใหญ่ให้กับเราตลอดทาง ถึงตอนนี้เริ่มหายใจทางปากมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหายใจทางจมูกไม่ทันจริงๆ ทางชันเพิ่ม Level ขึ้นยิ่งไกลก็ยิ่งยากขึ้น กำไม้เท้าที่พี่ลูกหาบให้แน่นหายใจเข้าปอดลึกๆ เดินๆๆ และเดินต่อจุดหมายอยู่อีกไม่ไกลเราเดินมานานพอสมควร ยกข้อมือมาดูเวลา มุ่งหน้าต่อไป เดินจนถึงเขาลูกสุดท้าย การพักคือ การถอดรองเท้าและถุงเท้ามาดูส้นเท้าที่โดนเสียดสีเป็นเวลานาน บอบช้ำและแสบ รู้อย่างนี้ใส่รัดส้นมาก็ดี ไม่หน้าไปกลัวไอ้เจ้าทากตัวเล็กๆนั่นเลย (ก็เรามันมือใหม่นี่เนอะ) พอบรรเทาความเจ็บด้วยพลาสเตอร์ยา และกล้ามเนื้อขาด้วยสเปรย์แก้ปวดกล้ามเนื้อ 


         พักพอหายปวดก็ออกเดินต่อ มองไปยังวิวด้านล่างเห็นภูเขามากมาย คิดในใจว่านี่เราเดินมาได้ขนาดนี้แล้วเหรอ หายใจเข้าลึกๆให้เต็มปอด ขัดใจตัวเองอีกหน่อยอีกไม่นานก็ถึง เดินเขาลูกที่ 4 ทางโหดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้กล้ามเนื้อขาเริ่มออกอาการตะคริวเรียกหา ก็ต้องทาน้ำมันนวดขากันหน่อย เดินจนถึงจุดที่ยากที่สุดพี่ลูกหาบบอกว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปก็จะเดินสบายแล้ว ละใกล้ถึงที่พักมากแล้ว ณ ที่เรายืนอยู่ตอนนี้สูงมาก และก็เหนื่อยจนแทบยิ้มไม่ออก ทิ้งกระเป๋าลงบนพื้นเหมือนมันไปทำอะไรให้เราโกรธ เขวี้ยงไม้เท้าไปด้านหน้าเหมือนเราไม่พอใจอะไรมัน ที่หนักคือส้นเท้าที่เจ็บแสบเหลือจะทนทาน เมื่อพักจนหายหอบ หน้าที่แดงเปลี่ยนสีเป็นเลือดฝาด หัวใจที่เต้นราวกับตีกลองรัวๆก็เต้นเบาลง ความเหนื่อยและเมื่อยล้าปะเดปะดังกันมาแบบไม่ได้นัดหมาย นั่งพักจนร่างกายรู้สึกบรรเทาความเมื่อยล้าลงมาก ก็หันไปมองยังยอดเขาเหมือนมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ มีกำลังใจฮึดสู้อีกครั้งอีกเพียงนิดเดียวเราก็จะถึงจุดหมาย เราจึงหยิบกระเป๋าอันหนักอึ้งแบกขึ้นหัวไหล่อีกครั้ง กำไม้เท้าแน่น คิดในใจว่าเอาวะต้องถึงสิวะ เราเดินมาได้ขนาดนี้แล้ว อดทนอีกหน่อย เดินต่อไป 



         ทางด้านหน้าต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเลยทีเดียว ใช้คำว่าเดินไม่ได้อีกแล้ว ต้องใช้คำว่าปีนเขาถึงจะถูก ปีนไปได้สักพักรู้สึกว่าไม้เท้าในมือนี้ สำคัญมากๆ มันช่วยเบาแรงเราได้เยอะ เหมือนเป็นขาที่ 3 ก็ว่าได้ ถ้าไม่มีไม้ที่พี่ลูกหาบตัดมาให้นี่เราคงแย่กว่านี้ ทางชันเบื้องหน้าและด้านหลังทำให้เราไม่กล้าหันกลับไปมองปีนๆๆๆและปีน ขาเริ่มออกอาการตะคริวถามหากล้ามเนื้อเริ่มรับไม่ไหวเพราะเราไม่ได้แบกแค่ตัวเรา แต่เราแบกสัมภาระมาด้วย เราหยุดพักบ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อใช้งานหนักจนเกินไป ไม่ฝืนร่างกาย เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง เพราะถ้าหากเป็นตะคริวขึ้นมาจะทำให้ล่าช้า และตอนนี้ก็ลั้งท้ายคนอื่นๆแล้ว มีเชือกให้เราจับและดึงตัว มีต้นไม้ให้พิงพักและอิงเป็นระยะ ตอนนี้อยากจะถอดเป้ทิ้งไว้กลางทาง ไม่มีแม้แต่แรงที่จะพูดคุยกับใคร ทำไมมันหนักอย่างนี้ แต่ก็คิดว่าโห พี่เขาใส่รองเท้าช้างดาว (รองเท้าฟองน้ำธรรมดาๆ) แบกตั้งเป็นสิบๆ กิโล เค้ายังเดินได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ กัดฟันและปีนต่อ พอถึงจุดที่พ้นผ่านมันมาได้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ละพูดว่า “โหทางโหดชิบหาย” ก่อนหน้านี้ก็บ่นมาตั้งแต่ลูกที่ 1 ตามลำดับ คือ โหด,โหดเนอะ,โหดมากและโหดชิบหาย เพราะความเป็นมือใหม่และไม่ได้ออกอำลังกายก่อนมาเลย นั่งหายใจอยู่พักใหญ่พี่ลูกหาบก็ออกปากบอกเราว่า จะช่วยแบกของเพราะทางต่อไปเดินง่ายแล้ว เขาช่วยแบกได้ เราดีใจเป็นที่สุดและก็พูดว่า “ขอบคุณมากค่ะ” (ไม่คิดจะปฏิเสธแม้แต่น้อย) เดินกันต่อแบบชิลๆ เจอน้ำตกไม่เห็นสัตว์ป่าใดๆ เลยตลอดทางมีแต่เสียงแมลงและนกเท่านั้น เดินตามลำธารเรื่อยๆ ก็ถึงจุดกางเต้นท์หายใจเข้าลึกๆและก็ตะโกนออกมา “ถึงแล้วเพื่อนเอ้ยยยยย” 


         นั่งพักจนหายเหนื่อย ร่างกายเหนียวเนอะไปด้วยเหงื่อไคล กางเต้นท์จัดสัมภาระ เตรียมตัวชำระล้างร่างกายที่น้ำตกอันใสสะอาด อย่างแรกที่ทำคือเอาเท้าแช่น้ำให้ผ่อนคลาย เดินหาที่ลับตาคน อาบน้ำเย็นสบายชื่นใจ ใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ เสร็จแล้วก็ลงมือเตรียมทำอาหารมื้อเย็น ด้วยเตาแก๊สกระป๋องแบบพกพา ทำต้มยำปลากระป๋องและหมูแดดเดียวที่เราเตรียมมาทอดด้านบน ทานร้อนๆ ผัดผักกูดแบบง่ายๆ อร่อยกับวิวเขา ลมพัดเย็นสบายตลอดเวลา กินข้าวเสร็จฟ้าก็มืดพอดี ด้านบนพอมีห้องน้ำที่ อบต.ทำให้แบบบ้านๆ หาบน้ำมาลาดส้วมกันเอาเอง ยังดีที่มีนึกว่าต้องขุดหลุมกันซะแล้ว ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ไฟฉายอันเล็กๆ และหนังสือเล่มเล็กๆที่เตรียมมาให้อ่านก่อนเข้านอนเท่านั้น นอนดูดาว อ่านหนังสือกับไฟฉาย นับเป็นอีกอารมณ์ที่ไม่ค่อยคุ้นเคยแต่มันก็ได้บรรยากาศแบบสุดๆเหมือนกันแฮะ


         วันรุ่งขึ้นพวกเราตั้งใจจะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้น คืนนี้นอนในถุงนอนอากาศเย็นๆ ลมพัดโชยตลอดเวลา ไม่นานนักก็เผลอหลับไปด้วยความเพลียและอ่อนล้า เช้ามืดพวกเราพากันลุกออกจากที่นอนใส่เสื้อกันหนาวและกางเกงขายาว เดินถือไฟฉายไปยังยอดทูเล ไม่ไกลจากจุดกางเต้นท์มากนัก แต่ก็เล่นเอาเสียเหงื่อยามเช้ากันเป็นแถวๆ ถึงที่หมายตั้งขาตั้งกล้องรอเก็บภาพตะวันและทะเลหมอก เห็นแสงอ่อนๆลำไล ปุยทะเลหมอกก็เผยโฉม ลมพัดปะทะหน้าและร่างกายเหมือนบินโต้ลมบนท้องฟ้า วิวเบื้องหน้าที่เห็นทำให้หายเหนื่อยหายเมื่อยล้าเป็นปริดทิ้ง เหมือนเราได้เติมพลังชีวิต วิวสวยสมกับที่เราพยายามและอดทนเดินขึ้นมา ตระการตาสวยกว่าที่คิดเอาไว้มาก 


         มันคุ้มค่าจริงๆที่ได้ขึ้นดอยทูเล ได้ชื่อว่าเป็นผู้พิชิตดอยทูเล ที่สูงถึง1,350 เมตร ถ่ายภาพเก็บความประทับใจให้เต็มอิ่ม ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็สวยไปหมด สวย 360 องศา ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า เพราะเราต้องลงเขากันในวันนี้ คิดในใจว่า อยากใช้เวลาอยู่ที่ตรงนี้ทั้งวัน เอาเปลมาผูกนอนอ่านหนังสือเล่มโปรดดื่มกาแฟร้อนๆ กินขนม นั่งมองทิวทัศน์อันสวยงามนี้ ฟังเสียงลม เสียงนก เสียงธรรมชาติ นั่งทบทวนเรื่องราวดีๆที่ผ่านมา คิดวาดฝันเรื่องในอนาคต วิวบนนี้เหมือนได้อยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ มันไม่ใช่แค่วิวสวยแต่อากาศด้านบนเย็นสบายเหมือนอยู่เมืองนอก ลมพัดเส้นผมตลอดเวลาเผลอคิดฝันเปรียบเหมือนเรานั่งบนพรมของอะลาดินก้มมองด้านล่าง ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลเมฆสีขาวด้านล่าง บนนี้สูงมากจนเห็นทะเลหมอกด้านล่างอยู่ลึกมาก แต่น่าเสียดายที่เวลาของเรามีจำกัด 


         การมาดอยทูเล ควรนอน2คืนเป็นอย่างยิ่ง เดินลงกลับไปที่เต้นท์ ทางเดินลงก็สวยทุกมุม ทุกๆย่างก้าว บนยอดเขาเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม เหมือนดินแดนเทเลทับบี้ ไม่มีต้นไม้ขึ้นมาให้ลกตา เป็นทุ่งเขียวทั้งยอด สวยสมใจนึก หากเป็นหน้าหนาวทุ่งจะกลายเป็นสีทอง เพราะต้นหญ้าขาดน้ำ จึงได้ชื่อว่า “ทูเลโค๊ะ” หรือ “ภูเขาสีทอง”นั่นเอง ความรู้สึกตอนนั้นอยากจะอยู่วิ่งเล่นไปมาแบบเทเลทับบี้ ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ แต่ความจริงก็คือ หมดเวลาสนุกแล้วสิๆ สูดหายใจเก็บโอโซนเข้าให้เต็มปอดเก็บสัมภาระ กลับลงด้านล่าง ทำอาหาร กินข้าวเติมพลังยามเช้าเราต้องลงเขากันอีกไกล เตรียมตัวออกเดินทางกลับ เตรียมอาหารกลางวันเรียบร้อยเราก็เริ่มออกเดินทางกลับ


         ด่านแรกคือด่านที่ยากที่สุดเพราะมันคือทางที่ตอนขึ้นมันชันมากที่สุด เราเดินกันอย่างระมัดวัง เพราะมันอันตรายหากพลาดพลั้งอาจจะกลิ้งและบาดเจ็บได้ จุดนี้ต้องเปลี่ยนจากเดินลงเป็นหย่อนก้นลงไปนั่งเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่แคล้ว มีเพื่อนร่วมทริปพลาดท่าลื่นหินพลัดตก แต่ไม่กลิ้งเพราะเท้าอีกข้างติดซอกหิน ทำให้เส้นเอ็นที่ขาบิดบาดเจ็บ นั่งพักกันปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผ้าลัดเข่า นวดยาหม่อง พี่ลูกหาบหาไม้เท้าแบบ3แง่งมาให้เพื่อจะได้ไม่กดน้ำหนักที่ขาที่บาดเจ็บมากนัก ไม้เท้าสำคัญมากจริงๆ ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ขาลงเราถือไม้เท้าสองอันบ้าง อันนึงบ้างแล้วแต่ใครจะเดินเก่งหรือไม่ แนะนำว่าคนไม่เก่ง เดินลง ใช้2 อันจะช่วงเบาแรงได้มาก ขาลงเดินสบายมากเพราะไม่เหนื่อยไม่ต้องก้าวขึ้นเดินไหลลงจากเขาแต่ปลายเท้าและเล็บเท้าก็น่วมไปตามๆกันเพราะแรงกดจิกพื้นเพื่อเป็นการเบรก 



         เพื่อนที่ขาเจ็บน่าสงสารมากเพราะต้องค่อยๆเอาไม้เท้าจิกไปด้านหน้าและเท้าก็ตามมาเหมือนคนพิการ ทำให้แบ่งเป็น 2กลุ่มเดินรอเพื่อนที่บาดเจ็บ และอีกกลุ่มเดินไปยังจุดหมาย ถึงเขาลูกสุดท้าย เท้าเราเริ่มปวด แต่ก็คงน้อยกว่าเพื่อนที่บาดเจ็บ ตอนนี้เพื่อนเริ่มออกอาการก้าวขาแทบไม่ไป คอยถามไถ่ว่าไหวไหม เรียกลูกหาบมาหามกลับไหม เพื่อนเราก็กัดฟันสู้ทั้งน้ำตาและบอกว่า ไหวยังไงก็ต้องเดินให้ถึง จุดนี้สงสารเพื่อนมาก และคิดว่า”ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”นั้นคือความจริง เราแบกเพื่อนก็ไม่ไหวเพราะร่างกายเราอ่อนล้าค่อยๆเดินไปเป็นเพื่อนกัน 


         เดินจนถึงจุดหมายเพื่อนที่รออยู่ให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ ต้องยอมรับเลยว่าเป็นบทเรียนที่โหดจริงๆสำหรับคนที่บาดเจ็บและต้องเดินลงให้ถึงจุดหมาย คนที่อบต.บอกเราทิ้งท้ายว่า “เดินเขาลูกนี้ได้ก็เดินเขาลูกไหนๆในประเทศไทยก็เดินได้ทั้งนั้น” ทำไมไม่บอกหนูแต่แรกคะ หนูไม่คิดว่าจะขนาดนี้ เราอาบน้ำที่อบต.กันก่อนกลับ ชำระร่างกายให้สดชื่น ก่อนขับรถกลับบ้าน ทริปในครั้งนี้ได้ประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่ไม่มีวันลืมเลือน ได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่า อยู่กับธรรมชาติไร้ซึ่งความสะดวกสบาย ไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่มีไฟฟ้า ดื่มน้ำจากน้ำตก นอนกลางป่าเขา เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำเพิ่มสีสันให้กับชีวิตอย่างตราตรึงใจเป็นภาพความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนห้ามพลาดเด็ดขาด ในวันหยุดยาว มาเที่ยวที่ดอยทูเล ครบทุกรสชาติของความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต ครั้งหน้าต้องได้พบกันอีกแน่ “ทูเลโค๊ะ” เจอกันใหม่เขาลูกต่อไปนะคะ

TRAVELLER’S GUIDE

Where: ดอยทูเล จ.ตาก

How to get there:

จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จากนั้นต่อด้วย ทางหลวงหมายเลข 72 (เอเชีย) ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านจังหวัดกำแพงเพชร-ตาก ก่อนถึงตัวเมืองตากมีทางเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สอด-แม่สะเรียง) ผ่านอำเภอแม่สอด แม่ระมาด จนถึงอำเภอท่าสองยาง ขับตรงต่อไปอีกประมาณ 60 กิโลเมตร เพื่อไปยัง อบต.ท่าสองยาง

Tip:  ในช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีตามทิวเขา จะเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม งดงามท่ามกลางทะเลหมอกและอากาศอันหนาวเย็น

More Information: thai.tourismthailand.org

 















ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2