• 29 มิถุนายน 2018 at 12:18

พิสูจน์ความแกร่ง NEW MAZDA BT-50 PRO
เส้นทาง ปักกิ่ง-มองโกเลีย 2,200 กิโลเมตร




มาสด้าได้ทำการเปิดตัว NEW MAZDA BT-50 PRO ไมเนอร์เชนจ์ ใหม่สดๆ ร้อนๆ มาไม่นาน ก็ได้จัดให้มีการทดสอบแบบที่ทุกคนคาดไม่  ถึงว่าจะได้ไปทดสองขับกันไกลถึงประเทศมองโกเลีย ดินแดนเก่าแก่และมีประวัติคนดังในอดีตในนามเจงกิสข่านเพียงได้รับการติดต่อว่าจะให้ไปทดสอบในครั้งนี้ก็ต้องรีบตกปากรับคำแบบไม่ต้องคิดมาก ไปสิคะทริปประวัติศาสตร์แบบนี้ไม่ไปได้อย่างไร

ก่อนที่จะไปพูดถึงเส้นทางที่เราจะได้ไปพบและสัมผัส อยากให้ท่านผู้อ่านได้รู้ถึงรายละเอียดตัวรถกันสักหน่อย มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่นี้อาจจะดูไม่เปลี่ยนไปจากตัวเก่าเท่าไหร่นัก แต่ถ้าชี้ให้เห็นเป็นจุดๆ ละก็ ด้านหน้ารถออกแบบให้ดูมั่นคงแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยมัดกล้าม กระจังหน้าและไฟหน้าถูกออกแบบให้ดูมั่นคงแข็งแรงโดยยังยึดแนวการออกแบบตามแบบฉบับรถในตระกูลมาสด้า โดยเฉพาะกระจังหน้า Singature Wing ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมาสด้า เมื่อมาดูด้านท้ายหรือด้านหลังของตัวรถเราจะเห็นว่าไฟท้ายนั้นดีไซน์ใหม่ดูแข็งแรงบึกบึน ส่วนล้ออัลลอยด์นั้นมีมา 2 ขนาดในรถแต่ละรุ่น คือมีทั้งล้ออัลลอยด์ขนาด 16 และ 17 นิ้ว ที่ออกแบบให้รับกับเส้นสายของตัวรถได้อย่างลงตัวภายในเน้นความเป็นสปอร์ตที่ออกแบบมาเหมือนกับรถยนต์นั่ง ห้องโดยสารกว้างมีที่ใช้สอยสะดวก เบาะนั่งโอบกระชับหลังได้ดี ส่วนโทนสีนั้นเน้นสีดำเป็นหลักแต่ก็มีสีเท่าผสมผสานอยู่ด้วยดูเข้ากันดีดูภาพรวมแล้วให้ความรู้สึกสบายเมื่ออยู่ในห้องโดยสาร


ลังจากที่รู้จักกับรถ มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่กันพอสมควรแล้ว ที่นี่เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งความฝันกันแล้ว โดยหลังจากที่ลงจากเครื่องที่สนามบินปักกิ่ง คณะสื่อมวลชน 20 กว่าชีวิตเดินทางไปรับประทานอาหารเช้ากันก่อน จากนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อมทุกคนต่างแยกย้ายประจำรถของตัวเองที่จอดเรียงไว้สำหรับสื่อมวลชนทั้งหมด 8 คัน ที่ทางมาสด้านั้นขับมารอเราจากเมืองไทย ออโตวิชั่นแอนด์ทราเวล ได้รถเบอร์ 08 มีสมาชิกร่วมรถด้วย เป็นหญิงสาวอีก 2 คน โดยสัมภาระที่ติดตัวมาทั้งหมดจะอยู่บนรถของเราด้วย และที่สำคัญการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้เรายังได้รับเกียรติจาก ประธานมาสด้า ฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ และ คุณธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และคุณอุทัย เรืองศักดิ์ หัวเรือใหญ่ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย


 วันแรกเราจะเดินทางกันประมาณ 700 กิโลเมตร จาก Beijing-Erenhot ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของจีนที่จะเข้าสู่มองโกเลีย ถนนที่วิ่งนั้นจะเป็นถนนดำ หรือเรียกถนนลาดยางซึ่งก็จะขับแบบเรียงเลขซึ่งจะมีบางช่วงที่ทำความเร็วได้บ้างก็ถือเสียว่าเราได้ลองอัตราความเร็วของรถ ที่กดกันไปถึง 170-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกันเลยทีเดียว ถนนก็ดีช่วงล่างของรถก็ดีเสียงของเครื่องยนต์เราแทบจะไม่ได้ยินเลยต้องยอมรับว่า มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ปรับขึ้นมาดีเลยทีเดียว ขับกันแบบยาวๆ สองข้างทางเห็นแต่ภูเขากว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ทุ่ม ทานอาหารกันเสร็จต่างก็แยกย้ายเข้าห้องพักเก็บแรงไว้ลุยวันรุ่งขึ้นที่ไกด์บอกว่าเราจะเจอสภาพถนนที่ไม่เคยเจอเลยอีกหลายรูปแบบ

เข้าวันที่สองทุกคนดูสดชื่นหลังได้พักกันอย่างเต็มที่ วันนี้เราต้องไปรอผ่านด่านซึ่งจะต้องใช้เวลาพอสมควรทั้งรถและคนซึ่งมีการตรวจอย่างละเอียด เมื่อทำพีธีการผ่านด่านเรียบร้อยคณะคาราวานมาสด้าเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้งรูปแบบยังคงขับเรียงหนึ่งโดยใช้อัตราความเร็วได้ไม่มากนักเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้ขับลงไปในเส้นทางที่จะเรียกว่าทะเลทรายเพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง kharmar Monastery เราจะไปนอนพักในกระโจม หรือชาวมองโกเลียจะเรียกว่า เกอร์ สิ่งที่น่าตื่นเต้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เราเห็นอูฐที่อยู่กลางทะเลทรายฝูงใหญ่เดินอยู่เต็มไปหมด ขบวนรถมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ขับไปจอดใกล้ๆ กับอูฐเลย ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันเพราะไม่เคยใกล้ชิดกับอูฐขนาดนี้ แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้วเราก็ต้องลงไปถ่ายรูปคู่กับอูฐสักหน่อย ใจก็คิดว่านี่เรามาอยู่ในทะเลทรายโกบีจริงๆ หรือนี่โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นักในชีวิต ต้องขอบคุณมาสด้า ที่ทำให้ฝันเป็นจริง


จากที่ผ่านทะเลทรายตอนแรกคิดว่าระยะทางวันนี้แค่ 250 กิโลเมตร คงไม่เท่าไหร่แต่พอเอาเข้าจริงๆ ถึงกับต้องบ่นเลยว่านี่มันทางรถวิ่งหรือทางม้าวิ่งกันแน่ ผ่านจากทะเลทรายมาเป็นหินที่ค่อนข้างแหลมคม แต่รถคันแกร่งก็ขับผ่านมาได้อย่างสบายๆ ต้องบอกว่าช่วงล่างของรถนั้นดีมาก แม้จะขับอยู่บนหินแต่ก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลจนมาเจอถนนดำ เส้นทางที่เชื่อมต่อไปไปยังแหล่งที่รับพลังงาน Energy place

เป็นจุดสำคัญของนักเดินทางเพื่อที่จะมาสักการะและนอนรับพลังงานจากธรรมชาติ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่รับพลังงานได้ดีที่สุดของโลกกับเวลา 15 นาที แม้แดดจะร้อนเพียงใดแต่เราก็พร้อมใจกันนอนนิ่งเพื่อรับพลังงานกันทุกคน จากนั้นจึงเข้าที่พักกลางทะเลทรายชื่อ Gobi Sunrise Camp วันนี้แค่ 250 กิโลเมตรยังถึงที่พักเกือบ 1 ทุ่ม แล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่คิดต่อแล้ว แต่ที่แน่ๆ คืนนี้เราได้นอนเกอร์กันแล้ว พอพระอาทิตย์ตกประมาณ 2 ทุ่ม บรรยากาศเริ่มดีขึ้น อากาศก็เย็นขึ้นเงยหน้าขึ้นท้องฟ้าเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมดอดให้คิดถึงคนทางบ้านไม่ได้แล้วสุดท้ายก็แยกย้ายกันเข้านอน

                                 

                          

วันที่สามไกด์บอกว่าวันนี้เราจะขับรถผ่านทุ่งหญ้ากันทั้งวันกับระยะทาง 400 กิโลเมตร สัมภาระถูกยกเก็บขึ้นรถจัดวางเป็นระเบียบ เสียงเครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร คอมมอนเรล 150 แรงม้า พร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้งจุดหมายอยู่ที่ Baga gazriin chuluu เส้นทางนั้นเริ่มสวยขึ้นเรื่อยๆ ได้เห็นพื้นถนนเป็นสีเขียวมากขึ้นก็จากต้นไม้เล็กๆไปตลอดทางแต่บางช่วงเราก็เจอกับถนนที่เป็นหินเหมือนเดิม

ขบวนขับตามผู้นำซึ่งเราไม่สามารถรู้เลยว่าจะไปสิ้นสุดตรงไหนเพราะพื้นที่เบื้องหน้านั้นกว้างขวางมากมีทิวทัศน์ที่สวยงามแปลกตาไปเรื่อยๆ เราสามคนที่นั่งอยู่บนรถซึ่งบางทีก็หลับบ้างตื่นขึ้นมาคุยกันบ้าง ฟังเพลงจากที่เสียบต่อเข้า USB ไปตลอดทางวนรอบแล้วรอบเล่าก็ยังไม่เบื่อเพราะวิวที่เห็นสองข้างทางทำให้เรารู้สึกตื่นตาตลอดเวลา ผนวกกับเจอถนนทุกรูปแบบสลับกันไปเป็นช่วงๆ จนมีรถเกิดยางแตกจึงได้หยุดพักเพื่อเปลี่ยนยาง พักดื่มกาแฟปลดทุกข์กันบ้าง ส่วนสาวๆ ก็มีกระโจมไว้เป็นที่กำบังสำหรับสำหรับปลดทุกข์เหมือนกันซึ่งทางทรานเอเซียเตรียมไว้ให้อย่างดี พอถึงที่พักทุกคนแยกย้ายกันเข้าที่พักเรายังคงนอนเกอร์กันอีกเป็นคืนที่สอง แต่ต้องรีบไปอาบน้ำเพราะอากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จากวันแรก จนต้องหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่



เข้าสู่วันที่สี่วันนี้เราจะได้เข้าไปสู่เมืองหลวงเก่าของมองโกเลียและจะได้พักที่พัก Kharakhorum ได้ขับกันอีก 350 กิโลเมตร ยาวๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นในช่วงเช้าแต่พอเข้าสายๆ ก็จะได้รับไอแดดกันเหมือนเดิม เมื่อเข้าสู่วันที่สี่เราเริ่มปรับสภาพได้แล้วกับการนอนเร็วแต่ต้องตื่นเช้า ซึ่งวันนี้ไกด์บอกกับเราว่าเส้นทางที่จะขับไปที่เมือง Kharakhorum นั้นเส้นทางจะมีความสวยขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะรออะไรละคะเก็บของขึ้นรถอย่างเร็วพร้อมออกเดินทาง คนขับคัน 08 ยังเป็นน้องแน๊ตจากไทยโพสต์ เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เดาก็ไม่ได้ ซึ่งบางช่วงก็ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


เราขับผ่านบีที 50 โปรใหม่ ผ่านทุ่งแล้วทุ่งเล่าจนออกมาเจอถนนดำบ้างเป็นบางช่วงแล้วก็กลับเข้าสู่ถนนเส้นทางถนนหินเหมือนเดิมและก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงเก่ายังเจอถนนที่อยู่ระหว่างซ่อมทำแถมยังเจอฝนตกลงมาอีก ทีนี้ละเจอปัญหาแน่แล้วรถเบอร์ 08  ฝนเจ้ากรรมทำให้ถนนที่เป็นลูกรังเลอะเทอะเส้นทางที่รถวิ่งผ่านกันไปล่วงหน้าแล้วทำเอาเราเลือกไลน์ไม่ถูกเลยรถที่ขับเป็นตัวขับสองยกสูงน้องแน๊ตขยับพวงมาลัยไปมาเพื่อให้รถพ้นจากเลนที่เราติดซึ่งก็ดูจะลำบากละแต่เพราะความเชื่อมั่นในตัวรถว่าต้องพาเราออกไปจากการติดไปให้ได้เราจึงลองหาทางขยับรถอีกครั้งคราวนี้ได้ผล บีที 50 ก็พารถเบอร์ 08 ออกมาจากโคลนได้เป็นผลสำเร็จ สมาชิกข้างหน้าที่จอดรถต่างก็ส่งเสียงผ่านว. ให้กำลังใจกันยกใหญ่ ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่เราก็พ้นอุปสรรคมาได้อย่างไม่ยากเย็นและแล้วเราก็เข้ามาถึงเมืองหลวงเก่าของมองโกเลีย

                              

ก่อนที่จะเข้าที่พักเราได้ไปเยี่ยมชม Kharakhorum Museum ซึ่งจะเราจะรู้จักเจงกิสข่านผู้นำอันเลื่องลือของประเทศมองโกเลียได้ดีก็ต้องมาที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ที่มีประวัติและสิ่งของที่เครื่องใช้ในสมัยนั้นให้เราได้เห็นได้เรียนรู้ถึงประวัติคร่าวๆ ของท่านเจงกิสข่านเป็นอย่างดี

                  

                  

                 

เช้าวันที่ 5 ก่อนที่ขบวนคาราวานจะเข้าไปสู่เมืองหลวง Ulaanbataar กับระยะทางอีก 400 กิโลเมตร เรายังได้เข้าไปชมวัดในเมืองหลวงเก่าชื่อ เอร์เดเน่ ซู ที่ดูมีมนต์เสน่ห์มีสถูปรอบกำแพงวัดถึง 108 สถูป เมื่อเดินเข้าไปด้านในเราก็จะพบกับพระอารามซึ่งมีประวัติที่ยาวนานมาก ไกด์เล่าให้ฟังเราก็พยายามนึกตามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟู ณ ที่แห่งนี้

                  

                  

ถึงแม้ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวแต่ก็ยังคงรูปแบบศิลปวัฒธรรมในยุคมองโกที่เคยรุ่งเรืองไว้ได้เป็นอย่างดี แล้วเราก็ต้องจากเมืองหลวงเก่าแห่งนี้เหลือไว้เพียงความทรงจำที่เราจะนำกลับไปด้วย ระยะทางยังเหลืออยู่อีก 400 กิโลเมตรที่จะเข้าสู่เมืองหลวง Ulaanbataar ซึ่งจะเป็นที่สิ้นสุดการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ จริงอย่างที่ไกด์บอกเส้นทางวันนี้สวยมากถึงมากที่สุดเท่าที่ขับรถผ่านมา 4 วัน เราได้เห็นภูเขาหญ้าสีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีสดใส บนท้องทุ่งกันกว้างใหญ่ไพศาลมีแค่ขบวนคาราวานของ บีที 50 โปรใหม่ ที่วิ่งกันฝุ่นตลบไต่ไปบนภูเขา เห็นแต่เพียงสัตว์ที่อยู่ตามทุ่งหญ้าเป็นช่วงๆ เต็มไปหมด ภาพแบบนี้คงหาดูยาก


ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ความสดชื่น มันมีอยู่เต็มทั่วไปทั้งท้องทุ่งเลยก็ว่าได้ ในขณะที่รถคันหน้าขับกันอยู่ประมาณ 70-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถที่อยู่คันหลังก็ต้องกวดกันเต็มที่เหมือนกัน ผ่านเขาลูกแล้วลูกเล่าจนมาถึงจุดจอดพักรถบอกคำเดียวว่าตะลึงภาพที่อยู่ข้างหน้าเรานั้นต้องใช้คำพูดว่าสวยจับใจจริง ข้างหน้าเราคือทะเลสาบที่แสนจะกว้างใหญ่ชื่อว่าทะเลสาบฮุฟสกุล อยู่ทางตอนเหนือของประเทศมองโกเลียซึ่งมีความยาวถึง 136 กิโลเมตร กว้าง 36.5 กิโลเมตรและลึกถึง 262 เมตร

                      

                      

ซึ่งเป็นจุดที่ต้องยอมรับว่าสวยมาก ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิตและคิดว่าคงจะไม่ได้เห็นแบบนี้อีกแล้ว ภาพที่มองด้วยตาเท่านั้นที่จะตราตรึงอยู่ในจิตใจ แม้จะถ่ายรูปเก็บไว้ดูก็คงไม่เท่าที่เราเห็นด้วยตา จนสมาชิกทุกคนอดใจไม่ไหวต้องงัดกล้องถ่ายรูป กล้องจากโทรศัพท์มือถือ ขึ้นมาถ่ายกันอย่างสนุกสนานจนลืมหิวมื้อกลางวันกันไปชั่วขณะแม้เวลาจะเลยมื้อเที่ยงมานานพอสมควร หนำใจกับการถ่ายรูปกันแล้วรถทุกคันค่อยๆ เคลื่อนตัวลงจากเขาไปจอดยังริมทะเลสาบเพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่จัดเตรียมไว้ให้ทุกคนเป็นอาหารกล่องพร้อมมีของแถมคือผัดกระเพราหมู มื้อนี้พิเศษจริงๆ นอกจากอาหารจะถูกปากแล้วยังได้ทานกันท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ


แต่พอเรามาใกล้ถึงเมืองหลวง Ulaanbataar ภาพทุกอย่างดูเปลี่ยนไปหมดเห็นผู้คนแน่นตาไปหมด มองไปเห็นแต่หลังคาบ้านเต็มไปหมด ประเทศมองโกเลียนั้นใหญ่กว่าประเทศไทยเราถึง 3 เท่า แต่มีประชากรเพียง 3 ล้านกว่าคน จัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดในโลก และส่วนใหญ่ร้อยละ 38 อาศัยอยู่ในเมืองหลวงอูลานบาตอร์ เราจึงเห็นผู้คนเต็มไปหมดเดินกันขวักไขว่ รถก็ติด ภาพช่างแตกต่างกับเส้นทางที่เราเดินทางมาอย่างสิ้นเชิง และแล้วขบวนคาราวาน มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ก็มาถึงจุดส่งมอบรถให้กับคณะสื่อมวลชนกรุ๊ป 2 ที่โรงแรม kempimski Hotel UB ที่จะขับย้อนรอยกลับไปเส้นทางที่กรุ๊ปแรกขับมา


การเดินทางครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่แปลกใหม่ที่ได้รับ ทำให้เราได้รู้ว่าโลกกว้างใบนี้ยังมีสิ่งที่ทำให้ได้เรียนรู้อีกมากมาย การได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆ ถือเป็นโอกาสที่ดี เหมือนกับการที่ได้เดินทางร่วมกับ NEW MAZDA BT-50 PRO ในครั้งนี้ที่พาเรามาทดสอบไกลถึงประเทศมองโกเลีย ได้รู้ถึงประสิทธิภาพความแข็งแกร่งของรถที่พาเราฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้อย่างง่ายดาย ได้ทดสอบกันทุกสภาพถนน แถมยังเจอทั้งฝนที่ตกกระหน่ำ เจอทั้งแสงแดดที่แรงกล้า และอากาศที่หนาวเหน็บ จนไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้กันทุกคัน ภาพแห่งความสุข ภาพแห่งความสนุกมันจะคงตราตึงในใจเราตลอดไปมองโกเลียที่รักที่พาเรามากันไกลถึง 2,200 กิโลเมตร กับการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ดินแดนแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ กับบทพิสูจน์ในครั้งนี้ที่ NEW MAZDA BT-50 PRO ทำได้อย่างดีเยี่ยมจนต้องยกนิ้วให้ กีฟท์คอนเฟิร์มค่ะ


NEW MAZDA BT-50 PRO
เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว

ให้กำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า ที่ 3,700 รอบ แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,000 รอบ 

NEW MAZDA BT-50 PRO
เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 3.2 ครั้งแรกของมาสด้ากับเครื่องยนต์ 5 สูบ ที่ให้ความจุกระบอกสูบขนาดใหม่มีขนาดกะทัดรัด

ให้ประสิทธิภาพสูง ด้วยกำลังถึง 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ และแรงบิดสูงถึง 470 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500

ให้การประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมและสมรรถนะด้าน NVH ที่ช่วยให้การขับขี่ในห้องโดยสารที่เงียบ

Story/Photo Nirada Chullopala


     


ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2