• 29 มิถุนายน 2018 at 12:18



All New Mitsubishi Triton Mega Cab Plus 2.4 GLS Navi A/T & Single Cab 4WD 2.5 GL M/T

เปิดประสบการณ์ใหม่กับทริปมันส์ๆ และยนตรกรรม 2 สไตล์จากค่าย Mitsubishi

การไปจังหวักาญจนบุรีในครั้งนี้คงเป็นทริปที่ธรรมดาๆ ไปในทันที หากไร้ซึ่งความน่าสนใจของกิจกรรม และยนตรกรรมที่จะต้องใช้เดินทาง เพราะนี่คือการร่อนหมายเชิญโดย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด (สำนักงานใหญ่) ให้ร่วมทดสอบ All New Mitsubishi Triton Mega Cab Plus และ Single Cab 4WD รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้บริโภคในเมืองไทย










สำหรับวันแรกของการเดินทาง Autovision เลือกที่จะสบายๆ ด้วยรุ่น Mega Cab Plus ที่ยังคงครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสาร เช่น หน้าจอมัลติฟังค์ชั่นที่มากับชุดเครื่องเสียงรองรับวิทยุ, MP3 ควบคุมผ่านจอภาพระบบสัมผัส ตลอดจนกล้องมองหลัง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และระบบนำทาง ทั้งยังขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายด้วยทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่งของตัวถังที่ยกสูงของรุ่น Plus แต่ได้อารมณ์การขับขี่ที่เหมือนกับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ นอกจากนี้ยังมากับบานประตูแค็บแบบเปิดได้ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้า-ออกได้ดีขึ้น แต่ยังคงเปี่ยมด้วยมาตรฐานความปลอดภัย จากโครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE BODY ที่สร้างขึ้นจากเหล็กกล้า Super Frame ใช้เหล็กแรงดึงสูง High Tensile Steel ที่หนาถึง 2 ชั้น แต่มีน้ำหนักเบา และมีความแข็งแรงสูง เพื่อเน้นย้ำความสามารถในการบรรทุก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Mitsubishi Triton








    

ตลอดการเดินทางด้วย Mitsubishi Triton Mega Cab Plus นั้นทำหน้าที่ได้ดี เช่นเดียวกับที่เคยสัมผัสในครั้งก่อนจะรุ่น Double Cab ซึ่งเครื่องยนต์บล็อคใหม่ล่าสุด พิกัด 2.4 ลิตร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว อลูมินัม อัลลอย บล็อก ที่มากับเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน MIVEC - Mitsubishi Innovative Valve Timing Electronic Control System ที่นำมาใช้ครั้งแรกในรถกระบะ ตลอดจน เทอร์โบ แปรผัน VG Turbo คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความมั่นใจชั้นดี ด้วยพละกำลังที่ตอบสนองได้อย่างทันใจในขณะเร่งแซง ประกอบกับระบบพวงมาลัยที่เฉียบคม และระบบช่วงล่างที่ปรับเซ็ทให้ดีขึ้นทั้งในเรื่องของการยึดเกาะถนน การทรงตัว รวมถึงการดูดซับแรงสั่นสะเทือน และอาจจะมีบ้างที่รับรู้ได้ถึงความกระด้างเล็กๆ ไม่ว่าจะเกิดจากพื้นถนน หรือพื้นฐานของงตัวรถก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ถือเป็นการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ขับสนุกยิ่งขึ้นอีกระดับ








ซึ่งเผลอเพียงแป็บเดียว ก็เดินทางมาถึงจุดแวะพักแรก ก่อนจะเดินทางต่ออีกครั้งเพื่อเติมพลังให้ร่างกายด้วยอาหารอร่อยจากร้านอาหารป่าครัวอาสา รสชาติจัดจ้านที่เรียกพลังได้ดี สำหรับกิจกรรมซึ่งเป็นไฮไลต์ของทริปเลยก็ว่าได้กับ Tree Top Adventure กิจกรรมการผจญภัยบนต้นไม้ ที่เป็นการเดินทางจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ไปยังอีกต้นหนึ่ง ด้วยสะพานเชื่อมหลายรูปแบบต่างๆ กัน ที่เล่นเอาเรียกทั้งเหงื่อ ทั้งความเร้าใจ และเสียงกรี๊ดแบบสนั่นป่า ไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮาไปตามๆ กัน ซึ่งบอกตรงๆ เลยว่าแรกๆ เองก็กลับเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เมื่อมองจากเบื้องล่างขึ้นไปก็ไม่ไดสูงเท่าไหร่ แต่ทันทีที่มองจากด้านบนลงไป


             


กิจกรรม Tree Top Adventure เสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาต้องชาร์จแบตกันซะที โดยค่ำคืนนี้เราพักร่างกัน ณ โรงแรมโฮมพุเตยริเวอร์แคว รีสอร์ทซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ โอบล้อมด้วยความสวยงามของทิวเขา และแม่น้ำแควน้อย ท่ามกลางพื้นที่ที่สำคัญแห่งประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ภายในรีสอร์ทมีสร้างพิพิธภัณฑ์สถานที่จำลองเหตุการณ์สงครามในอดีต เพื่อให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไป รวมถึงผลกระทบของประเทศไทย ตลอดจนประเทศที่เกี่ยวข้องในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ชมด้วยเช่นกัน และที่สำคัญห้องพักที่นี่ก็ตกแต่งได้อย่างอบอุ่น น่านอน ซึ่งคงทำให้เราได้หลับฝันดีกันในค่ำคืนนี้










เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นมารับอากาศสดใส ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกก่อนจะรับบทหนักด้วยการขับพาหนะอีกหนึ่งรุ่นเพื่อเดินทางกลับ นั่นคือ รุ่น Single Cab 4WD 2.5 GL M/T ซึ่งถือเป็นรุ่นที่น้อยนักจะได้มีโอกาสขับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรถที่ถูกจำหน่ายเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น  โดยรุ่น Single Cab 4WD นี้มากับเครื่องยนต์ดีเซล แบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ดีเซล เทอร์โบ เทอร์โบแปรผัน VG Turbo และอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งมีพละกำลังสูงสุดที่ 178 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 400 นิวตันมเตร ส่งกำลังด้วยเกียร์เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และมาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เร้าใจแบบเต็มๆ ด้วยแรงบิดมหาศาลขับเคลื่อนตัรถแบบหัวเดี่ยว อันเป็นความมันส์อีกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อวิ่งบนเส้นทางทุรกันดารด้วยระบบขับเคลื่อน 4H ที่ใช้ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงยึดเกาะ และการหมุนล้อทั้ง 4 อย่างเหมาะสม เพื่อฟันฝ่าเส้นทางแบบออฟโรด นอกจากนี้ก็ยังมีโหมดขับเคลื่อนแบบ 4L เอาไว้ให้ลุยพื้นที่หนักๆ อีกด้วยเช่นกัน










แต่สำหรับการเดินทางวันนี้ถือเป็นเส้นทางสบายๆ บนถนนดำ ที่ไม่ต้องใช้ชุดขับเคลื่อน 4 ล้อมากนัก เพราะแค่การขับปกติก็สนุกสนานมากพอกับอรรถรสการขับในสไตล์เกียร์ธรรมดา และพละกำลังที่มีมาให้ใชอย่างต่อเนื่อง เพื่อเดินทางแวะเที่ยวก่อนจบทริปกันที่ พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งได้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างทางรถไฟสายมรณะ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีทั้งส่วนที่เป็นนิทรรศการภาพถ่าย สไลด์ มัลติมีเดีย การจัดแสดงอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของเชลยศึกสงคราม รวมถืงการเปิดให้เข้าชมสถานที่จริงบริเวณช่องเขาขาดที่เป็นเส้นทางการสร้างรถไฟสู่ประเทศพม่า และนอกจากนี้เรายังได้รับทราบถึงที่มาที่ไปของชื่อ “ช่องเขาขาด” อีกด้วย โดย ช่องเขาขาด นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ช่องไฟนรก" (Hellfire Pass) อันเป็นชื่อนี้ได้มาจากการที่เหล่าเชลย ซึ่งทำงานในเวลากลางคืน ต้องจุดคบไฟ และก่อกองไฟเวลาทำงาน เมื่อแสงไฟสะท้อนเงาผู้คน ทำให้เห็นเป็นแสงเงาวูบวาบราวกับกับเปลวเพลิงแห่งนรกนั่นเอง





    



หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาดกันจนเสต็จเรียบร้อย คณะสื่อมวลชนของเราก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันหลังจากที่แวะเติมพลังมื้อเที่ยงกันอีกครั้งเต็มที่ ครัวคุณลุงริมแควใหญ่ จนอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะเดินทัพเต็มที่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยการจราจรหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ได้ทดลองสมรรถนะการขับขี่ และการควบคุมอีกครั้ง เพื่อเป็นการตอกย้ำความยอดเยี่ยมของสมรรถนะจาก All New Mitsubishi Triton ทั้ง 2 รุ่น










ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2