• 29 มิถุนายน 2018 at 12:20

สัมผัส “ฮีโร่”
“Mazda BT-50 Pro นับจากวันเริ่มต้นสู่การเดินทางข้ามดินแดน เราคุ้นเคยแต่ไม่สนิท”


         สายฝนลาฟ้าร่วงลงพื้น เป็นสัญญาณเริ่มต้นแห่งฤดูกาล ไม่ตื่นเต้นหรือดีใจกับวงจรของเวลา การทำความสนิทสนมกับ ฮีโร่ คันนี้ต่างหาก ชวนอารมณ์ให้หลั่งอาดีนารีนมากกว่า ใครจะคิดว่ารถกระบะจะใหญ่ได้ขนาดเกือบเต็มซอย แต่มันก็เป็นไปแล้ว วันนี้นับเป็นหนที่สองในการทำความรู้จักกับมาสด้า บีที-50 โปร ก่อนหน้านั้นเราได้ขับกันในประเทศลาวแล้วแต่ยังไม่หน่ำใจ คราวนี้เรามีโอกาสได้ลองขับ DBL 2.2 Hi-Racer AT ABS/Leather เกียร์อัตโนมัติ เป็นตัวขับสองยกสูง หุ่นดูสูงโปร่งล่ำสัน ทว่ายังแฝงความอ่อนโยนเอาไว้ แสดงออกผ่านทางกระจังหน้า เส้นสายเว้าโค้งรับกับไฟหน้าขนาดใหญ่ กลมกลืนไม่ดุดันน่าเกรงขาม เช่นเดียวกันกับไฟท้าย อาจจะขัดตาไปบ้างด้วยตำแหน่งอยู่ค่อนข้างสูงเกือบติดขอบกระบะด้านบน เลยทำให้ไม่คุ้นตา รวมถึงความใหญ่โตมากกว่าทุกรุ่น ที่สำคัญคือมันไม่ใช่แนวตั้งเหมือนรุ่นอื่น  ยอมรับตามตรงว่าครั้งแรกที่เห็นดูแปลกตาและขัดแย้ง ผ่านมาถึงเวลานี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปทางความคิด “มันก็สวยดีนะ”


        การเดินทางสู่ภาคตะวันออกไปพร้อมกับ “พี่ฮีโร่” ดูเท่ห์ไม่หยอกทีเดียว เราแทรกตัวเข้าสู่ภายในนับแต่วันเดินทาง  มีความรู้สึกชัดเจนเกี่ยวกับความหรูหราของภายใน จริงที่ภายนอกอาจดูอ่อนโยนจากการดีไซน์ กลับกันภายในให้อารมณ์สปอร์ตมากยิ่งกว่า ด้วยแนวคิดการออกแบบในรูปแบบค๊อกพิทดีไซน์ (Cockpit Design) ได้ถูกวิศวกรผู้ปราดเปรื่องนำเข้ามาแทนที่การออกแบบภายในของรถปิกอัพแบบเดิมๆ โดยเน้นให้รูปทรงภายในโอบรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร อันเป็นคอนเซ็ปต์ที่มาจากการออกแบบรถสปอร์ตหรู 
          ในขณะเดียวกันด้วยความเป็นสปอร์ตนั้น ความรู้สึกว่าช่องเก็บของหรือวางแก้วน้อยไปสักหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อีกอย่างที่ประทับใจคือการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้การขับมีความสุขและไม่เครียด เช่นเดียวกันระบบ MID (Multi-Info Display) ตรงกลางระหว่างไมล์วัดรอบ กับความเร็ว ซึ่งจะแสดงข้อมูลการขับขี่ที่เป็นประโยชน์ เช่น ระยะทางคงเหลือที่ขับได้สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ แสดงอัตราการกินน้ำมันในขณะนั้น แสดงความเร็วเฉลี่ย แสดงอุณหภูมิภายนอกเป็นต้น และในส่วนของแดชบอร์ดด้านบนตรงกลาง ยังมีจอแสดงผลการทำงานแบบ MFD (Multi-Function Display) ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลการใช้งานต่างๆ เช่น แสดงการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่านสัญญาณ Bluetooth แสดงสัญลักษณ์สัญญาณกะระยะถอยหลัง แสดงการเชื่อมต่อ iPod หรืออุปกรณ์ต่อพ่วง AUX/USB ซึ่งหน้าจอ MFD นี้จะมีสองแบบได้แก่ แบบ 2 LINE และแบบ DOT MATRIX ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น


         มุมมองดีเกินคิด ด้วยมิติตัวรถที่ใหญ่โตขนาดนี้ (กว้างxยาวxสูง (มม.) 1,560x1,549x513 บางครั้งการเข้าจอดหรือเข้าซอยอาจมีปัญหาบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทว่าในมาสด้าเมื่อเราอยู่ภายในรู้สึกว่าทัศนวิสัยการมองทำได้ดีเสาเอก็ไม่ขัดสายตา จุดบอดของกระจกก็น้อยอาจเป็นเพราะกระจกบานใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งกล้องมองหลัง บางครั้งอาจไม่จำเป็นแต่อย่าลืมว่าคนไทยรสนิยมการใช้รถกระบะเปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งความใหญ่ของตัวรถเชื่อว่าบางทีลานจอดหรือช่องจอดคงเล็กเกินไป   ในส่วนของเครื่องยนต์ของ Mazda BT-50 PRO ใหม่นี้มีให้เลือกสองแบบ คือเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร DOHC แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Di-Thunder Pro 2.2 VN Turbo 150 แรงม้า (110 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดที่ 375 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ดีเซลแบบคอมมอนเรลไดเร็กอินเจ็คชั่นของเขานี่ เป็นจริงดังทางมาสด้าได้บอก ว่าของเขาทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ครั้งแรกที่สตาร์ทรถ ผมบอกเลยว่า เป็นรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลที่ทำงานได้เงียบมาก เปิดฝากระโปรงตำแหน่งเครื่องยนต์วางเกือบเซ็นเตอร์ ทำให้การถ่วงบาลานซ์ทำได้ดี อัตราการเร่งต้องบอกว่าทำได้ดีดั่งใจคิดตอบสนองได้ตั้งแต่รอบต้น แต่ต้องหลังจากนับหนึ่งสองก่อน เพราะความรู้สึกว่าในเครื่องรุ่นนี้ยังมีการรอรอบอยู่สักนิด ไม่ถึงกับทำให้เสียอารมณ์

 


          ในขณะเดียวกันในรอบกลางไปจนถึงปลายยอมรับและคาราวะในการทำงานของเขาจริงๆ “พี่ฮีโร่” พาเราลื่นไหลไปได้เรื่อย รวมถึงความสนุกที่ได้จากโหมดสปอร์ต 6 เกียร์เพียงดึงเข้าหาตัว แล้วโยกบวกลบมันเพิ่มอรรถรส ซูมซูม ดีจนถึงขั้นดีมาก เป็นรถที่ยิ่งขับแล้วก็ยิ่งสนุก   เส้นทางจากกรุงเทพถึงจันทบุรี มีฝนลงมาเป็นระยะ แต่ไม่ใช่ปัญหา เรานั่งอยู่ภายในแต่รู้สึกได้ว่าสถานการณ์บนถนนเวลานี้เราเอาอยู่ในทุกจังหวะแน่นอน



          ระบบเบรกไม่ต้องกังวล EBD ช่วยให้การกระจายแรงทำได้ดี ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก แบบมีครีบระบายความร้อน พร้อมคาลิบเปอร์แบบลูกสูบคู่ ด้านหลังดรัมเบรก พร้อมระบบปรับแรงดันเบรกอัตโนมัติ ระบบช่วงล่างเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง, เหล็กกันโครง และโช้คอัพแบบ 2 จังหวะในด้านหน้า และเป็นแบบแหนบแผ่นซ้อน โช้คอัพแบบ 2 จังหวะ (Double acting) ไขว้ทแยงมุม ในด้านหลัง ช่วยให้การทรงตัวในการเข้าโค้งทำได้อย่างแม่นยำ ด้วยความสูงจากพื้น 237 มม.จากพื้นก็ไม่มีผลต่อการทรงตัวแม้แต่น้อย บางช่วงของทางโค้งเราลองขับด้วยความเร็วสูงออกอาการปัดบ้าง ไม่ถึงกับเสียอาการ เรายังสามารถดึงกลับเข้ามาได้ พวงมาลัยกระชับไม่หนักหรือเบาเกินไป

          ภาพโดยรวมหลังจากที่ได้ทำความสนิทสนมกันพอสมควร หลายร้อยกิโลเมตรของการเดินทางทำให้มั่นใจได้ถึงสมรรถนะ ช่วงล่างไม่มีปัญหาให้หนักใจหรือเหนื่อย เช่นเดียวกันเครื่องยนต์ 2.2 VN Turbo ระดับ 150 แรงม้า เน้นไปเรื่องของการขับสนุกทั้งในเมืองและการเดินทาง ถึงแม้จะมีรอรอบบางในรอบต้นแต่ก็มีเพียงนิดหน่อยไม่ได้ทำให้รู้เสียจังหวะ ภายนอกมาถึงวันนี้แล้วเชื่อว่าคนไทยคงชินสายตากันเรียบร้อยไม่น่ามีปัญหาอะไรให้ขัดสายตาอีกต่อไป ราคาของ Hi Racerทั้งสองรุ่นคือ DBL 2.2 Hi-Racer746,000 Baht ,DBL 2.2 Hi-Racer AT ABS/Leather874,000 Baht ทดลองหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง ได้ที่ตัวแทนจำหน่ายมาสด้าทุกสาขา.

ข้อมูลทางเทคนิค

แบบเครื่องยนต์                                    4 สูบ แถวเรียง OHC 16 วาล์ว VN เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์

ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี)                       2,198      

อัตราส่วนกําลังอัด                                15.5 : 1

ความกว้าง X ช่วงชัก (มม.)                     86.0 X 94.6             

กำลังสูงสุด (EEC)

แรงม้า (กิโลวัตต์)/รอบต่อนาที              150 (110) / 3,700

แรงบิดสูงสุด (EEC)

นิวตัน-เมตร / รอบต่อนาที                      375 / 1,500-2,500

ระบบกันสะเทือนหน้า            อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง, เหล็กกันโครง และโช้คอัพแบบ 2 จังหวะ(Tubular double acting)

ระบบกันสะเทือนหลัง            แหนบแผ่นซ้อน และโช้คอัพแบบ 2 จังหวะ (Double acting) ไขว้ทแยงมุม


เรื่อง/ ปิยวัฒน์ จิตมา

ภาพ/ เอ-โต้ง

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2