• 1 เมษายน 2019 at 13:56

โลกเปลี่ยนเร็ว .. ไม่ใช่มีไลน์แค่ส่งคลิป?

ไม่รู้ว่ายังจำกันได้เรื่องที่เคยมีเจ้าหน้ารัฐ บอกว่าเข้าไปอยู่ในกลุ่มไลน์เพื่อแจ้งเบาะแสเรื่องการทำผิดกฎหมาย แต่สุดท้ายวันนี้ก็เริ่มจางหายไปมันน่าเศร้านะ

หากจำกันได้เรื่องนี้เกิดมามีโดยเป้าหมายมุ่งเน้นทำผิดกฎจราจรเป็นหลัก ซึ่งมีเงื่อนไขสำหรับกรณีการขับขี่รถบนทางเท้า แล้วประชาชนถ่ายภาพแจ้งเบาะแสมานั้น หากมีเลขทะเบียนชัดเจน กทม.ก็ประสานข้อมูลจากตำรวจจราจร และกรมขนส่งทางบกให้เจ้าของรถมาทำการจ่ายค่าปรับ แต่หากเจ้าของรถเพิกเฉยไม่มาจ่ายค่าปรับก็จะเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนกรณีการถ่ายภาพผู้กระทำความผิดอื่นๆ เช่นการทิ้งขยะในที่สาธารณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะเป็นผู้ช่วยหาตัวผู้กระทำความผิดได้ โดยจะมีการตรวจสอบข้อมูลตามทะเบียนราษฎร์เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งแต่ละกรณีจะมีอายุความ 1 ปี นับจากวันกระทำความผิด ดังนั้นเมื่อกทม.ได้รับแจ้งเบาะแสก็จะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุดนี่คือระบบการทำงาน

ด้าน กทม.เองบอกว่ามีวัตถุประสงค์ในการออกระเบียบของกทม.ให้สามารถมอบส่วนแบ่งค่าปรับให้แก่ประชาชนผู้แจ้งเบาะแสได้นั้น เป็นการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลสำเร็จ และจะทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เพราะหากเป็นกลุ่มข้าราชการ หน่วยราชการอื่น ๆ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่เทศกิจ มีการละเมิดกฎหมาย ขับขี่รถบนทางเท้า หรือ กระทำการอื่น ๆ ที่ผิดตามพ.ร.บ.รักษาฯ มีผู้แจ้งเบาะแส ก็จะต้องดำเนินการจับปรับเช่นกัน อีกทั้ง การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมการดูแลพื้นที่สาธารณะ จะทำให้ทุกคนตระหนักถึงการเป็นเจ้าของพื้นที่สาธารณะอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยกันดูแลรักษาพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งตนคาดว่า เมื่อกทม.ดำเนินการจับปรับอย่างจริงจัง และประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลทุกพื้นที่ จะทำให้ผู้ละเมิดกฎหมาย กระทำความผิดในที่สาธารณะ ตามพ.ร.บ.รักษาฯลดน้อยลงอย่างแน่นอน 

แต่ในที่สุดเวลาผ่านไปเราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์ต่างๆเริ่มรุนแรงกันมากขึ้นเมื่อ มีคนขี่รถจักรยานยนต์บนฟุตบาทย้อนศร ไม่พอยังหันกลับมาทำร้ายคนที่เดินบนถนนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งคนจอดรถในช่องคนพิการทั้งที่บ้านรวยร่างกายดี ประพฤติตัวแย่ร่วมมือกับ รปภ. ลงมาไล่เขาอีก มันช่างน่าหัวเราะจิตสำนึกไม่มี นี่ยังไม่รวมถึงขับรถย้อนศรหรือแม้กระทั่งแอบเอาขยะทิ้งแม่น้ำลำคลอง รู้สึกเศร้ากับสิ่งที่คิดกันมาแต่ไม่คนสานต่อแล้วแบบนี้จะเดินต่อกันไปอย่างไร 

ทำไม?ผมบอกแบบนี้ ก็เพราะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ ได้มาจากล้องโทรศัพท์มือถือของพลเมืองดีนำมาโพสท์เพื่อประกาศให้สังคมได้รับรู้ หากมองในมุมกลับกัน ลองคิดเล่นๆว่าทำไมเขาถึงเลือกจะโพสท์ในโซเชี่ยลแต่ไม่ส่งให้ไลน์กลุ่มที่เคยตั้งกันขึ้นมา นั่นแสดงว่าเขาไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะลงมือทำได้จริงๆ ทุกสิ่งล้วนแล้วทำก็หายไป 

ทางแก้ไม่ใช่แค่สร้างกลุ่มไลน์หรือแอปพิเคชั่นขึ้นมา ทั้งหมดควรจะต้องสร้างกลุ่มเจ้าหน้าที่เครือข่ายพร้อมปฏิบัติงานในทันทีไม่ใช่ว่า ทำเพราะตามกระแส โลกวิวัฒน์ไปไกลเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดไหนต้องเรียนรู้ เรื่องของการบังคับใช้กฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ทำกันแค่เล่นๆเท่านั้น อย่าลืมทุกคนอยู่กับมือถือตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ก็ควรจะใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของโลกออนไลน์ด้วยเช่นกัน 

แจ้งแล้วหายไม่สนใจ มันก็ไม่ต่างข้อมูลขยะของเวปไซต์เท่านั้นเอง โลกกำลังจะไปยุค 5G อย่าทำตัวเชื่องช้าต่อเหตุการณ์แล้วตื่นตัวกับเรื่องที่เป็นกระแสแชร์มั่วๆ 

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2