• 29 มิถุนายน 2018 at 12:15

Story : Black man

                  รถไฟฟ้า(EV) ฝีมือไทย

          น่าจะเป็นเรื่องใหม่ๆชวนให้ใครต่อใครฉุกคิดบ้าง คนไทยมีฝีเยอะแยะไม่ค่อยได้โชว์ผลงานสักเท่าไหร่

คิดดี คิดได้ แต่ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้คิด นี่แหละความจริง แต่ในวันนี้มีความจริงยิ่งกว่า เมื่องานมอเตอร์โชว์ครั้งที่39

     ที่ผ่านมา นอกจากผู้ผลิตรายใหญ่แล้ว เรายังได้เห็นรถยนต์ฝีมือคนไทยมาร่วมแสดงอยู่ในงานด้วย

            นั้นยังไม่น่าตกใจเท่ากับ รถยนต์รุ่นดังกล่าวนั้น เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(EV) ที่ใช้งานได้จริงๆ ไม่ใช่แค่โมเดลหรือว่าภาพโชว์ เป็นอย่างไรล่ะบริษัทดังกล่าวนี้ชื่อว่าบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ในวันงานได้เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทย MINE Mobility โชว์ศักยภาพผลิตรถต้นแบบ 3 รุ่นพร้อมกัน เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันน่าสนใจ ทั้งที่เราเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ในแทบนี้ผลิตให้กับหลายแบรนด์ส่งออกไปขายไกลทั่วโลก เป็นเพราะเขาเชื่อในศักยภาพของเรา แต่พี่ไทยเราเองยังเท้งเต้งไม่มีชื่อแบรนด์ของตัวเองส่งออกไปขายบ้าง

            อย่างไรก็ตามเราได้เห็นแล้วว่าวันนี้ คนไทยคิดแล้วลงมือทำเรียบร้อย รถไฟฟ้าเต็มระบบมันอาจจะนานกว่าทุกอย่างลงตัวแต่เราก็เชื่อคงไม่นานเกินรอ EA ไม่รอเวลาเมื่อโอกาสต้องลอง แสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำไปอีกขั้น งานเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบครั้งนี้ เป็นผลงานจากฝีมือการออกแบบและพัฒนาของทีม R&D ของบริษัทซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น โดยได้มุ่งมั่นทำงานกันมาตั้งแต่ปี 2560 จนเป็นที่มั่นใจจนในปลายปี 2560 ได้จัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นในชื่อ บริษัท ไมน์ โมบิลิตี รีเสิร์ช จำกัด (หรือ MINE Mobility Research Co., Ltd.) เพื่อทำการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้าตลอดจนฟังก์ชั่นต่างๆ ให้สอดรับกับความต้องการของผู้ใช้งาน ก่อนที่จะเริ่มผลิตและจำหน่าย MINE Mobility รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติไทยของเครือ EA ให้ออกสู่ท้องตลาดในอนาคต

            ผู้บริหารเขาก็มั่นใจว่ารถไฟฟ้าของไทยนี่มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ด้านสถานีชาร์จ ตอนนี้เขาก็ติดตั้งแล้วเสร็จไปกว่า 100 จุด หลังจากมีพันธมิตรมากขึ้น คาดว่าน่าจะบรรลุเป้าหมายถึง 1000 แห่งได้ภายในสินปีนี้ โดยทางบริษัทนี้มีความตั้งใจจะทำรถที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ โดยรถรุ่น City EV Concept และรุ่น MPV EV- Concept คาดว่าจะมีราคาไม่เกิน 6 แสนบาท และ 1 ล้านบาทตามลำดับ แม้ราคาจะไม่ได้แตกต่างจากรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมัน แต่ประหยัดกว่าในระยะยาว โดยเมื่อคำนวณค่าเชื้อเพลิงตามระยะทางการวิ่งต่อกิโลเมตรจะพบว่าถูกกว่ารถที่ใช้น้ำมัน 5-10 เท่าแล้วแต่รุ่น

            สำหรับพละกำลังไม่ใช่ว่ามีแค่นิดหน่อยนะอย่างในรุ่น MPV EV- Concept มีแรงม้าตั้ง107 แรงม้า แล้วก็แรงบิดอยู่ที่ 250 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดทำได้ 140 กม./ชม. ชาร์จครั้งหนึ่งเดินทางได้ประมาณ 200 กม. 0-100 กม./ชม.10วินาที ชาร์จแบบ AC Charger ใช้เวลา 40 นาที ชาร์จแบบเร็วDC Quick Charger 15 นาที 80%

                  City EV Concept กำลังสูงสุด 60 แรงม้า แรงบิด 160 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. 0-100 กม./ชม. 12 วินาที แต่ชาร์จได้เร็วกว่าแบบช้า 25 นาทีเท่านั้น ถ้าเป็นแบบเร็ว 15 นาที ขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งสองรุ่นเป็นรถที่คนทั่วไปจับต้องได้ ถ้าชอบความแรงเขาก็มีเวอร์ชั่นเร้าใจขึ้นมาอีกรุ่น คือ Sport EV-Concept โดยรุ่นนี้มีแรงม้าอยู่ที่160แรงม้า แล้วก็แรงบิดมากถึง 350 นิวตันเมตร 0-100 กม./ชม.ใช้เวลาเพียง 8.0 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ถือว่าไม่น้อยทีเดียว ในขณะเดียวทั้ง 3 รุ่นใช้แบตเตอร์รี่แบบ Lithium-ion แล้วช่วงล่างหน้าแบบแม็คเพอร์สันสตรัท หลังเป็นแบบมัลติลิงค์

            อาจยังไม่ดีที่สุดเวลานี้แต่เชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นสู่ความสมบูรณ์แบบเช่นกัน เราคงยังไม่มองไกลถึงขั้นเทียบกับญี่ปุ่นหรือฝั่งยุโรป เพราะประเทศเหล่านั้นพัฒนาไปไกลแล้วก็ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเรื่องสถานีและสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ถ้าหากว่าประเทศเราผลักดันเรื่องเหล่านี้จริงจังอีกไม่นานอาจได้เห็นเจ้ารถไฟฟ้าเหล่านี้ซึ่งอาจไม่ใช่แบรนด์เดียวของคนไทยวิ่งกันเกลื่อนเมืองก็เป็นได้ที่สำคัญประโยชน์หลายอย่างก็ตามมา อย่างน้อยเราก็ใช้น้ำมันกันน้อยลง มลพิษก็ต่ำลง เป็นไปได้เราควรคิดวางแผนเรื่องทำลายแบตเตอร์รี่ในอนาคตด้วยรวมถึงเรื่องราคาบำรุงรักษาต้องจับต้องได้ อนาคตคนใช้ไฟฟ้ามากขึ้นน้ำมันลดลง แล้วแบบนี้จะมีผลกับราคาค่าไฟหรือเปล่า คนขายน้ำมันจะปล่อยง่ายๆอย่างนั้นหรือ เราต้องติดตามกันต่อไป

 

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2