• 12 ตุลาคม 2020 at 11:13

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยกทัพรถยนต์เอสยูวีครบทั้งพอร์ต

พาผู้สื่อข่าวสายสตรีมาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจ

Mercedes-Benz SUV Driving Events

ทริปนี้ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ยกทัพรถยนต์เอสยูวีครบทั้งพอร์ตแบบจัดเต็มครบครัน ทั้งแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ Mercedes-AMG ให้เราได้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ บนเส้นทางกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี ที่สนามกรังด์ปรีซ์ มอเตอร์ ปาร์ค โดยมีไฮไลต์เป็น “Mercedes-Benz GLB 200 Progressive” รถยนต์คอมแพ็คเอสยูวี 7 ที่นั่งให้สื่อมวลชนได้ร่วมทดสอบสมรรถนะ

 “การทดสอบจะแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 โซน เพื่อทดสอบสมรรถนะในแต่ละโซนของสนามออฟโรด อย่างเต็มที่โดยพื้นที่จะแบ่งออกเป็น 3 โซน โซนแรกจะเป็นการเรียนรู้วิธีการขับแบบออฟโรดกันก่อนอันนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญเลยทีเดียวก่อนที่เราจะไปลุยกันในสนาม หลังจากฟังบริฟแล้วก็ถึงเวลาที่จะออกไปสนุกกับกิจกรรมที่เตรียมไว้ให้ โดยจะแบ่งออกเป็น 3   กลุ่มตามสีของสายรัดข้อมือ

โซนที่หนึ่งเป็น  “10 Stations Thailand 4x4 Academy”  เป็นโซนสำหรับการเรียนรู้วิธีการขับขี่ในแบบออฟโรด ผ่านอุปสรรครูปแบบต่าง ๆ ที่ใกล้เคียงกับเส้นทางธรรมชาติ ประกอบด้วยฐานต่าง ๆ จำนวน 10 สถานี เราได้รถ GLS 350 d 4MATIC AMG Premium มาลองขับเป็นคันแรกที่จะขับในโซนที่ 1   ซึ่งได้แก่ การขับในเส้นทางที่เป็นหลุมสลับ

การขับในเส้นทางที่เป็นบ่อโคลนและทางโคลน การขับในเส้นทางที่เป็นระนาดซุง รวมทั้งหินและดิน การขับบนทางเอียงหรือเนินเอียง 20-35 องศา การขับขึ้น-ลงเนินที่มีความลาดชัน การขับผ่านฝายทดน้ำ/หินกรวดและทางขรุขระ การขับข้ามบ่อน้ำและลำธาร ที่ระดับความลึก 50-80 เซนติเมตร และมีความยาว 50 เมตร การขับบนทางเนินเอียงและโค้งครึ่งวงกลม การขับผ่านสะพานซุงและและสถานีน้ำตกจำลอง  และสถานีสุดท้าย คือ การขับรถในบ่อทราย ซึ่งแต่ละจุดที่เราขับผ่านนั้นเป็นการให้เราได้เรียนรู้ถึงถ้าวันนึงเราไปเจอเหรุการณ์แบบนี้เราจะขับรถผ่านอุปสรรคได้อย่างไร แต่ที่สำคัญต้องบอกเลยว่ารถที่ใช้ในการขับนั้นมีประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดและมีระบบ Safety มาให้แบบเราจำกันไม่หมดกันเลยทีเดียว

เสร็จจากโซนแรกแล้วเราก็มาต่อกันที่ โซนที่ 2  “Twin Tracks Speed Circuit” เป็นโซนสำหรับทดสอบด้านสมรรถนะในการควบคุมรถยนต์บนทางเรียบและทางฝุ่นที่มีระยะทางหนึ่งรอบรวม 3,000 เมตร ซึ่งจะมีรถมาให้เราได้ลองกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ ซึ่งจะมีให้เราได้มาลองขับทั้งรถขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยนั้นมีมาอยู่ในรถทุกรุ่นอยู่แล้ว รุ่นที่ขับเคลื่อนล้อหน้าก็เป็น GLA, GLB ส่วนตัวที่ขับเคลื่อนล้อหลังก็คือเจ้า  GLC  ในรอบแรกนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ขับให้เราดูเส้นทางก่อน 1 รอบ

พอรอบต่อไปก็จะเป็นการขับแบบใส่เต็มให้เราได้เห็นก่อนที่เราจะลงมือขับด้วยตัวเองแต่ต้องทำตามคำที่เจ้าหน้าที่บอกกับเรานะคะว่าเอาตามที่เราไหวนั่นหมายถึงว่าขับตามที่เรารู้สึกว่าเราควบคุมรถอยู่ให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด จากนั้นเป็นหน้าที่ของเราแล้วที่จะลงไปลองขับด้วยตัวเอง ตัวแรกเราได้น้องเล็ก GLA มาลองก่อนเป็นตัวขับหน้า พอคำสั่งให้ออกตัวเราก็ลองกดคันเร่งขึ้นตามที่ได้ไหวไม่ว่าจะเป็นการขับผ่านโค้งด้วยความเร็วหรือใส่ต่อเนื่องเมื่อมาถึงทางตรงก็ต้องบอกเลยว่าการควบคุมรถนั้นไม่ยากอย่างที่เราคิดเลยเพราะระบบ Safety ต่างๆ

ทำงานได้ดีมากรักษาสมดุลของรถได้ดีทำให้เราขับผ่านเส้นทางที่เป็นลูกรังขรุขระในความเร็วที่อยู่ในมาตรฐานได้อย่างสนุกเลยทีเดียว  ตัวต่อไปที่จะมาลองขับก็เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลัง GLC ก็จะมีขนาดรถใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยใช้เส้นทางเดิมเลยพอเริ่มออกตัวรถเพียงไม่นานเราก็รู้เลยว่าคันแรกกับคันที่สองนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การควบคุมอาการของรถที่ขับเคลื่อนล้อหลังนั้นเราจะต้องเล่นกับพวงมาลับมากหน่อยเพราะถ้าเราขับมาหนักท้ายรถก็พร้อมที่สะบัดได้ตลอดเวลาแต่ข้อดีของการขับเคลื่อนล้อหลังนั้นก็คือเมื่อไหร่ที่เราไปเจอหลุดหรือตกหลุมใหญ่ๆ ล้อหลังจะเป็นตัวส่งกำลังตระกายตระกุยขึ้นมาได้ง่ายกว่ารถที่ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็ต้องบอกว่าถึงจะมาอาการสับัดแต่เราก็ควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทางได้ดีเลยทีเดียว

มาถึงคันสุดท้าย GLB 200 เป็นรุ่น 7 ที่นั่งคอมแพ็คเอสยูวีซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่สุดจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นตัวไฮไลต์ในการทดสอบนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เรามาเริ่มทดสอบกันเลยเมื่อขึ้นไปนั่งพร้อมปรับเบาะอีกครั้งให้เรากับตัวเราถือเป็นรถอีกรุ่นที่ดูไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่จนเกินไปขนาดกำลังพอดี เมื่อได้ทดลองขับอยากจะบอกว่าคันนี้เหมือนเอาระบบขับเคลื่อนของตัว GLA และ GLC มารวมกัน ซึ่งแท้จริงแล้ว GLB นั้นเป็นรถที่ขับเคลื่อนล้อหน้าแต่เมื่อได้ลองแล้วเหมือนเรารู้สึกว่าการทำงานของช่วงล่างนั้นดีมากอารมณ์ของการขับเหมือนเราได้ขับรถขับเคลือนล้อหลังอยู่ด้วยการทรงตัวของรถนั้นควบคุมได้ง่ายไม่ว่าจะเค้าโค้งออกจากโค้งการส่งกำลังแบต่อเนื่องมันรู้สึกสมูทไปซะหมดจนแทบจะไม่รู้เลยนี่คือรถที่ขับเคลือนล้อหน้าอยู่นะ โอ้ยต้องบอกคำเดียวเลยค่ะว่า เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นเมื่อได้ลองขับแล้วรู้สึกหลงรักขึ้นมาทันที  

และมาถึงโซนสุดท้ายโซนที่ 3   “4x4 Adventure”  เป็นเส้นทางธรรมชาติที่มีทั้งอุปสรรคและความท้าทายตลอดเส้นทาง ซึ่งรถยนต์เอสยูวีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยกทัพมาร่วมทดสอบการขับขี่บนเส้นทางกรุงเทพฯ-กาญจนบุรีในครั้งนี้   มีครบครันทั้งแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในรุ่น GLA, GLB, GLC, GLE และ GLS รวมถึงแบรนด์ Mercedes-AMG ซึ่งได้แก่ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe และ Mercedes-AMG GLE 43 4MATIC Coupe 

นั้นทุกรุ่นมีประสิทธิภาพและมีจุดเด่นที่ให้มาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของเราและความชอบแล้วว่ารถคันไหนที่จะเหมาะกับเรามากที่สุด คุณเองคงต้องเป็นคนเลือก ส่วนผู้สื่อข่าวสาวๆ ที่ได้มาร่วมทริปทดสอบในครั้งนี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสนุกจริงๆ นอกจากจะได้เรียนรู้ทักษะในการขับแบบออฟโรดแล้วเรายังได้มารู้จักคาแลคเตอร์ของรถแต่ละรุ่นอีกว่ามีลักษณะอย่างไรถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่ให้ทั้งความรู้และประสบการณ์จริงๆ 

ลูกค้าท่านใดสนใจสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อนัดหมายเพื่อการทดลองขับรถยนต์เอสยูวีจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ทุกรุ่นได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

สามารถดาวน์โหลดข่าวประชาสัมพันธ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ที่เว็บไซต์  www.mercedes-benz.co.th       

หรือติดตามข้อมูลข่าวสารของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ที่  www.facebook.com/MercedesBenzThailand

 

ปิดปรับปรุงระบบความคิดเห็นชั่วคราว ขออภัยในความไม่สะดวก หากลูกค้าต้องการเปิดใช้งานระบบ กรุณาติดต่อ 02-8323222 กด 2